“ทอม ทอม แวร์ ยู โก ลาสท์ ไนท์ , ไอ เลิฟ เมืองไทย ไอ ไลค์ พัฒน์พงศ์” ท่อนเปิดของเพลง “เวลคัม ทู ไทยแลนด์” โดยวงคาราบาว เป็นที่คุ้นหูคนไทยมาแล้ว 3 ทศวรรษ เนื้อเพลงบรรยายถึงภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีทั้งวัด วัง ประเพณีวัฒนธรรมมากมาย ฉะนั้นแล้วนักท่องเที่ยวทั้งหลาย (ซึ่งสมัยนั้นเน้นไปที่ “ฝรั่ง” ทั้งยุโรปและอเมริกัน) อย่าเอาแต่ “หลงใหลแสงสี” คิดแต่จะไป “ท่องราตรี” ไม่ว่าจะเป็นที่ถนนพัฒน์พงศ์ (Patpong) ในย่านสีลม กรุงเทพฯ รวมถึงเมืองพัทยา (Pattaya) จ.ชลบุรี
ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ความจริงนั้นคือ “โลกยามค่ำคืน” ในเมืองท่องเที่ยวของไทยหลายย่านเป็นที่ “ขึ้นชื่อ” ในหมู่ชาวต่างชาติทั่วโลกมานานหลายสิบปี ความสนุกสุดเหวี่ยง “กิน-ดื่ม” จากหัวค่ำไปจนถึงกลางดึกหรือบางแห่งอาจถึงรุ่งสาง เรื่องเล่ามากมายถูกส่งผ่านกันปากต่อปากรวมถึงผ่านสื่อต่างๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่า กระทั่งล่าสุดไม่นานนี้ เริ่มมีผู้มาเยือนจากต่างแดนที่รู้สึกว่า “ราตรีในเมืองสยามไม่สนุกอย่างวันวาน” อีกต่อไปแล้ว
แสงสีค่ำคืน 2 ย่านขึ้นชื่อของไทย : (2ภาพบน) พัฒน์พงศ์ กรุงเทพฯ , (2ภาพล่าง) พัทยา จ.ชลบุรี
ภาพประกอบ : travelandlifestylediaries.com , ithaka.travel
26 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ นสพ.ดิ อินดีเพ็นเดนต์ (The Independent) ของอังกฤษ นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “How Thailand’s military is putting a stop to Bangkok's famously rambunctious underground nightlife” รัฐบาลทหารไทยกับการหยุดยั้งโลกยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ) โดยระบุว่า นโยบายจัดระเบียบสังคมของรัฐบาลทหาร ทำให้สถานบันเทิงถูกปิดไปหลายแห่ง บนความไม่แน่นอนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2561 หรือไม่?
กองทัพไทยซึ่งเข้ายึดอำนาจในปี 2557 ได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อ “ควบคุมความอึกทึก” ของเมือง และได้ยกระดับขึ้นเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา อาทิ เจ้าของบาร์แห่งหนึ่งในเมืองพัทยา เล่าว่า เจ้าหน้าที่รัฐขอตรวจสอบแม้กระทั่ง “ใบอนุญาตการจัดให้เล่นเกมปาลูกดอก” (Dartboard) นอกจากนี้ยังกำชับว่าสถานบันเทิงทุกแห่งต้องปิดในเวลา 02.00 น. อย่างเคร่งครัด ซึ่งทั้งหมดเป็นกฎหมายที่มีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลย
รายงานของดิ อินดีเพ็นเดนต์ กล่าวต่อไปว่า การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดก่อให้เกิดผลกระทบกับกิจการขนาดกลาง (Fledgling Business) ที่ต้องดิ้นรนกับภาษีนำเข้าทั้งอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างร้านนั่งดื่มระดับตำนานแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ย่านสาทร-พระราม 4 ที่เปิดมากว่า 4 ทศวรรษ ที่ถูกคุมเข้มทั้งเวลาเปิด-ปิดทำการ และแม้แต่ตรวจสอบใบอนุญาตแสดงดนตรี ขณะที่ดีเจรายหนึ่งกล่าวว่านโยบายของรัฐบาลทหารกำลังหยุดยั้งการเจริญเติบโตของดนตรีแนว Underground และกรุงเทพฯ ตอนนี้น่าเบื่อกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนเสียอีก
ชะตากรรมแผงลอยในยุค คสช. : 5 มี.ค. 2561 นายวัชระ เพชรทอง (คนกลางใส่สูท) อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ นำประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันแผงลอย 3 พื้นที่ เข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี
ภาพและข่าวประกอบ : http://www.naewna.com/politic/324653 ('วัชระ'นำผู้ค้า หาบเร่ร้อง'บิ๊กตู่'ผ่อนผัน ลั่นเพิกเฉยขน50เขตบุกถล่ม)
ด้าน พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลทหารตั้งเป้าหมายให้ภาคธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และยกระดับมาตรฐานศีลธรรมของคนรุ่นใหม่ให้สูงขึ้น อนึ่ง..รายงานของสื่ออังกฤษฉบับนี้ ระบุว่า ในรอบปีล่าสุด ผู้ค้าแผงลอยริมทางเท้าถูกย้ายจากถนนสายหลักไปยังถนนสายรองหรือแม้แต่ไปยังพื้นที่อื่นๆ และการขายเครื่องดื่มมึนเมาหลังเที่ยงคืนที่เคยมีก็หายไปด้วย ซึ่งรัฐบาลทหารของไทยมองว่าเป็นการทำให้เมืองดูสะอาดขึ้น
มาตรการทั้งหมดนี้ดูคล้ายกับประเทศไทยช่วงปี 2544-2548 ภายใต้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) ที่มีนโยบายจัดระเบียบสังคมทำนองเดียวกัน ทว่าก็มีข้อแตกต่าง โดย รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ในยุครัฐบาลทักษิณนั้นคุณสามารถคัดค้านนโยบายต่างๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวถูกปราบปราม
ทว่ารัฐบาลทหารในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูท่าจะยังไม่สบายใจหากจะลงจากอำนาจ เมื่อดูจากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหลังการเลือกตั้ง ซึ่งนับตั้งแต่รัฐบาลทหารเข้าสู่อำนาจ ได้กล่าวว่าเข้ามาเพื่อเยียวยาประเทศที่เคยอยู่ภายใต้การบริหารอย่างสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลขั้วการเมืองตระกูลชินวัตร
คะแนนตก : “กรุงเทพโพลล์” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจหัวข้อ “2 ปีแรก vs 2 ปีหลัง การทำหน้าที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์” เมื่อ 6-8 ก.พ. 2561 และเผยแพร่ผลเมื่อ 10 ก.พ. 2561
ภาพประกอบ : bangkokpoll.bu.ac.th
และหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกตัดสินว่ามีความผิดกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตจากนโยบายรับจำนำข้าว เมื่อปี 2560 เมื่อนั้นรัฐบาลทหารก็สูญเสียเป้าหมายหลักในการอยู่ในอำนาจต่อไป ประชาชนรู้สึกอึดอั้นที่ต้องรอการเลือกตั้งซึ่งรัฐบาลทหารเคยให้สัญญาไว้ตั้งแต่ปี 2558 ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เมื่อเดือน ก.พ. 2561 พบว่าคะแนนนิยมในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ลดลง
อาจารย์ฐิตินันท์ อธิบายว่า เป้าหมายของการยึดอำนาจครั้งนี้ 3 ข้อยังไม่บรรลุผลคือ 1.ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมากว่าทศวรรษยังไม่คลี่คลาย 2.การปฏิรูปการเมืองและรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว และ 3.การทุจริตยังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่เว้นแม้แต่ทหารระดับนายพล ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทหารเผชิญกับการตั้งคำถามมากมาย เช่น การดำเนินคดีกับผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน และโดยเฉพาะกรณี “นาฬิกาหรู” อันอื้อฉาวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีที่มาไม่ชัดเจน
นายพลนาฬิกา : ภาพการ์ตูนล้อกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ภาพประกอบ : Facebook เพจ CSI LA
นั่นคือเรื่องของการเมือง แต่รายงานของดิ อินดีเพ็นเดนต์ เลือกปิดท้ายด้วยความเห็นของผู้ประกอบการสถานบันเทิงยามค่ำคืนอีกราย ที่ระบุว่า “วันนี้ไทยกำลังสูญเสียนักท่องเที่ยวไปยังตลาดที่ถูกกว่า” เช่น กัมพูชาและเวียดนาม ขณะที่ผู้ประกอบการรายหนึ่งย่านพัฒน์พงศ์ ย้ำว่าตนแม้พร้อมทำตามกฎหมายแต่ธุรกิจก็ต้องมีเวลาให้ปรับตัว ถึงกระนั้น “จิตวิญญาณของเมืองก็ท้าทายเกินกว่าจะถูกขับออกไปได้ง่ายๆ” ดังที่ดีเจยามราตรีคนเดิมทิ้งท้ายว่า
ผู้คนเขาก็ยังกินดื่มกันสุดเหวี่ยงเหมือนเดิมนั่นแหละ..เพียงแต่มันแห่ไปอยู่กันหลังประตูที่ปิดทึบก็เท่านั้น!!!
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
แปลและเรียบเรียงจาก : https://www.independent.co.uk/news/world/asia/bangkok-nightlife-crackdown-thailand-latest-bars-clubs-licencing-prostitution-prayuth-chan-ocha-a8272786.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี