พระโพธิสัตว์หมายถึงผู้ปรารถนาที่จะช่วยเหลือเหล่าเพื่อนมนุษย์และปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ "พระนิยตโพธิสัตว์" และ "พระอนิยตโพธิสัตว์"
"พระนิยตโพธิสัตว์" คือผู้ที่สั่งสมบุญบารมีเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่า จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน
"พระอนิยตโพธิสัตว์" คือผู้ที่สั่งสมบุญบารมีเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเช่นกัน แต่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเลย อาจจะล้มเลิกความตั้งใจก่อนก็ได้และก็มีโอกาสที่จะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าในอนาคตเช่นกันหากพยายามและไม่ล้มเลิกความตั้งใจเสียก่อน
จากตำนานเล่าขานมายาวนานและพุทธทำนายว่า ในอนาคตแผ่นดินสุวรรณภูมิ หรือสยามประเทศจักเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคล (โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์) จะปรากฏขึ้นไม่ขาดสายและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะลงมาบำเพ็ญบารมีสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า หรือพระโคตมพุทธเจ้า) ให้ยืนยงครบถ้วนเหมาะสมแก่กาลเวลาอันเหมาะสมประวัติศาสตร์ของสยามประเทศก็ได้จดจำพระโพธิสัตว์ "ที่มีบทบาทและมีบุญบารมี" ไว้ได้ดังนี้
1.หลวงปู่ทวด หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มเปี่ยมเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี จากบทสวดบูชาประจำองค์ของท่านมีใจความว่า "นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา" อันแปลว่า "ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชคซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้" ก็เป็นที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณ
2.สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) จากประวัติขรัวโตของพระยาทิพโกษา ได้บันทึกรายละเอียดอันน่าพิจารณาว่าสมเด็จฯท่านเป็นพระโพธิสัตว์ไว้ว่า ครั้งหนึ่งมีหมอนวดประจำองค์สมเด็จฯท่านมานวดถวาย ตัวแกนั้นชำนาญการนวดมานานนวดให้เจ้านายมาก็มากแต่แกนึกสงสัยว่าเวลานวดแขนสมเด็จฯท่านนั้นรู้สึกว่ามีกระดูกแขนท่อนล่างเป็นท่อนเดียว ครั้นมานวดถวายก็นวดย้ำๆที่เดิม สมเด็จฯท่างคงรู้ความในใจกระมังจึงเอ่ยถาม "นวดมากี่ปีแล้ว" แกก็กราบเรียนว่า "10 ปีแล้วขอรับ" สมเด็จฯท่านถามต่อว่า "เคยเห็นคนมีกระดูกแขนท่อนล่างเป็นแท่งเดียวอยู่หรือคุณ" แกตอบว่า "ไม่เคยขอรับนอกจาก…" สมเด็จฯ ท่านจึงเอ่ยว่า "จำเอาไว้นะถ้าไปพบเห็นที่ไหนเข้า นั่นแหละพระโพธิสัตว์ท่านมาบำเพ็ญบารมีละ"
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระสงฆ์คู่พระทัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อีกด้วย ซึ่งพระองค์ท่านเองก็เคยถูกกล่าวถึงว่าเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศลกลับพระชาติมาเกิดเพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตามที่เคยให้สัตย์กับพระพุทธเจ้าไว้เมื่อสมัยพุทธกาล เรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันจากองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ของพระกรรมฐานไว้ว่า รัชกาลที่ 4 ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นกัน
3.ครูบาศรีวิชัย (พระอินท์เฟื่อน สิริวิชโย) ครูบาศรีวิชัยท่านเป็นนักบุญแห่งล้านนาที่รู้จักกันไปทั่ว ครั้งหนึ่งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้พบปะกับครูบาศรีวิชัย และได้ชักชวนมาปฏิบัติกรรมฐานด้วยกัน แต่ครูบาศรีวิชัย ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่าท่านได้บำเพ็ญบารมีมาในทางพระโพธิสัตว์ และได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ต่อมาท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) อยากทราบถึงภูมิธรรมและปฎิปทาที่ครูบาศรีวิชัย ได้ดำเนินอยู่จึงสอบถามกับหลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่มั่น ก็ได้ยืนยันและกราบเรียนให้ท่านเจ้าคุณทราบว่า "พระศรีวิชัยองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขณะนี้กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมีอยู่ ซึ่งต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารอีกนาน จนกว่าการสั่งสมบารมีธรรมจะสมบูรณ์"
4.หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่ทราบกันอย่างดีในเหล่าสานุศิษย์ว่าหลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มเปี่ยม ซึ่งตัวหลวงปู่ เองจะเน้นสอนธรรมเสียมากกว่า แต่กิติศัพท์ของท่านนั้นก็ขจรขจายไปไกลเช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี เดินทางไปเยี่ยมหลวงปู่ดู่ และได้เทแป้งใส่ฝ่ามือหลวงปู่ดู่ พร้อมกับกล่าวว่า "วันนี้ผมนำมงกุฎพระพุทธเจ้ามามอบให้คุณ นิมนต์อยู่ต่อเถิด ถ้าไม่อยู่ต่อก็ไม่เป็นไร ที่คุณปรารถนานั้นสำเร็จแน่ ต่อไปคุณจะได้เป็นพระพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าหลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ และแป้งนั้นหลวงปู่ดู่ ก็ได้นำมาทาศีรษะท่านเอง ลูกศิษย์จึงถามว่าทำไมนำไปทาบนนั้น หลวงปู่ดู่ตอบอย่างมีเมตตาว่า "ของที่พระอรหันต์ให้ แกจะเอาไปทาที่ไหนละจึงจะสมควร เดี๋ยวจะไม่เป็นการเคารพนอกจากบนหัวของเราเอง" ซึ่งหลวงปู่ดู่ท่านก็บอกตามตรงว่าหลวงปู่บุดดาเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
5.หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ท่านได้รับการยืนยันจากหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แห่งวัดป่าสาลวัน ศิษย์เอกของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาอย่างเปรยๆ สมัยเป็นสามเณรว่า "สามเณรจามขี้โรค ข้อยตรวจตราดูแล้วยืดยาว อุปนิสัยของเจ้าของผู้เอาแบบอย่างขององค์พระพุทธเจ้า ทั้งเอาแบบและเป็นผู้เดินตามแบบ ต่อไปข้างหน้าของเจ้าอีกก็ยืดยาว สุดแท้แต่บุญพาวาสนาส่ง" เป็นการเปรยๆว่าหลวงปู่จาม ก็คือผู้เอาแบบอย่างพระพุทธเจ้าหรือก็คือพระโพธิสัตว์นั่นเอง
ต่อมาครั้งหนึ่งหลวงปู่จาม ท่านมุ่งทำความเพียรเพื่อกำจัดกิเลสให้หมดไปก็เกิดนิมิตว่าการที่มุ่งทำความเพียรเพื่อละกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ในชาตินี้ คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เสมือนว่ามีอะไรสักสิ่งหนึ่งปิดกั้นไว้ ปัญญาไม่ทะลุแจ้ง ฉุกคิดถึงแนวทางปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิมาแล้ว ชะรอยเราจะเคยปรารถนามาแล้วกระมัง ท่านจึงถอนจิตออกจากสมาธิแล้วไปที่หน้าองค์พระพุทธรูป ห่มผ้าจีวรจรดไหล่เรียบร้อย กราบแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าได้เคยปรารถนาพุทธภูมิบำเพ็ญมาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้า ในภายภาคหน้าแล้วก็ขอให้จิตสงบเยือกเย็น ขอให้ภาพนิมิตเหล่านั้นหายไป และให้เกิดความรู้แจ้งเห็นชัดเป็นที่ประจักษ์เถิด" จึงได้พักผ่อนหลับ
คืนต่อมาในคืนต่อมาการภาวนาได้ผลดี จิตสงบถอนขึ้นมาเองอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เกิดญาณทัศนะสามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆได้ว่าเคยอธิษฐานตั้งความปรารถนาพุทธภูมิไว้แล้วในอดีตชาติและได้รับพุทธพยากรณ์ แล้ว ไม่สามารถถอนออกได้ จึงจะต้องบำเพ็ญบารมีเพิ่มขึ้น จะต้องเกิดตายอีกหลายชาติ จนกว่าบารมีจะเต็ม ซึ่งเป็นระยะเวลาอีกนานเท่าใดไม่สามารถจะประมาณได้การสั่งสมอุปนิสัยบุญบารมีในแนวทางของความเป็นพระพุทธเจ้าและได้รับการพยากรณ์แล้วนั้น ก็เป็นเรื่องเฉพาะตน การจะบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นใครก็เป็นเรื่องเฉพาะของการเป็นใครคนนั้น กรณีบำเพ็ญสาวกบารมีก็จะเป็นสาวก บำเพ็ญอัครสาวกบารมีก็จะเป็นอัครสาวก บำเพ็ญปัจเจกบารมีก็เป็นปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าบำเพ็ญพุทธบารมีก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
ต่อมาพระอาจารย์อินทร์ถวาย ได้ถามหลวงปู่ว่า "เกิดตายอีกหลายชาติไม่เบื่อหรือ" หลวงปู่จามตอบว่า "เบื่อไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ต้องมาเกิดตายจนกว่าจะหมดภาระหน้าที่นั้น"
6.พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ไม่ต้องสาธยายท่านทั้งหลายคงประจักษ์ใจว่าในหลวงทรงพระบารมีอย่างยิ่ง พระองค์จะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้แต่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ของชาวไทยทั้งประเทศแน่นอน ซึ่งได้มีพระมหาเถระผู้ทรงญาณอภิญญาหลายรูปได้กล่าวถึงความเป็นพระโพธิสัตว์ของพระองค์ไวดังนี้
6.1 พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) ได้กล่าวเตือนญาติโยมว่า "การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ.."
6.2 หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้ยืนยันว่า ความเป็น "พระโพธิสัตว์" ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ "นิยตโพธิสัตว์" ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริง
6.3 พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) "พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมากฉันเองยังสู้ท่านไม่ได้ เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่พระองค์ (ในหลวง) ปรารถนามานานแต่เวลานี้บารมีเป็น "ปรมัตถบารมี" เหลืออีก 5 ชาติและที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้วไม่ใช่ไม่สำเร็จพุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น “วิริยาธิกะ" ต้องบำเพ็ญถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป นี่เกิน 16 อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก 5 ชาติ"
6.4 พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ได้ถวายพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพุทธภูมิและพุทธกิจ 5 ของพระพุทธเจ้าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับเมือครั้งเสด็จมานมัสการที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
6.5 พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) "วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"
6.6 พระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ) "นี้รูปพระเจ้าแผ่นดิน เก็บดีๆ เด้นั้น เอาไว้ในห้องพระ กราบไหว้บูชา พระพุทธเจ้านะนั้น"
นอกจากนี้ ยังมีพระโพธิสัตว์อีกหลายพระองค์ที่ไม่อาจรวบรวมมาให้อ่านได้เนื่องจากไม่มีข้อมูลอ้างอิงที่แน่นอน หาผิดพลาดประการใดก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้
คัดลอกจากเพจ "ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี