เป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว สื่อสารมวลชนทุกแขนง รวมถึงสื่อโซเชียล เมื่อ "น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน" หรือ "ผอ.อ้อย" หายตัว "ร.อ.ศุภชัย ภาโส" หรือ "ผู้กองเหน่ง" ตกเป็นจำเลยถูกแจ้งข้อหาหนัก ล่าสุดศาลนัดฟังคำพิพากษา 14 มี.ค.62 ญาติลุ้นขอให้ศาลลงโทษประหารชีวิต
คดีฆ่าโหดในปี 2560 กรณีที่ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ "ผอ.อ้อย" ผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หายตัวไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.60 ในชุดเสื้อผ้าเครื่องแบบสีกากีข้าราชการพลเรือน ต่อมาวันที่ 20 ก.ค.60 นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 83/1 หมู่ 3 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สภ.บึงมะลู แจ้งว่าเมื่อวันที่ 3 ก.ค.60 น.ส.จุฑาภรณ์ หรืออ้อย อุ่นอ่อน อายุ 37 ปี บ้านเลขที่ 65 หมู่ 3 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ซึ่งเป็นบุตรสาวได้หายตัวไปจากบ้านเช่าหลัง ธ.ก.ส.ในเขตเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ พร้อมกับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีออส สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่
ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.60 นายวิทยา เกษแก้ว อายุ 37 ปี สามีของ น.ส.จุฑาภรณ์ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.กันทรลักษ์ว่า น.ส.จุฑาภรณ์ ผู้เป็นภรรยาหายตัวไป ตามคดีอาญาที่ 576/60 หลังจากได้รับแจ้ง พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผบก.ภ.จ.ศรีสะเกษ ได้มีคำสั่งที่ 592/2560 ลง 31 ก.ค.2560 แต่งตั้งชุดปฏิบัติการสืบสวนติดตามบุคคลสูญหาย ชุดสืบสวนได้สืบสวนติดตามและแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อติดตามหานางสาวจุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน และทรัพย์สินที่สูญหาย ติดตามข้อมูลการใช้โทรศัพท์, ข้อมูลทางการเงินของนางสาวจุฑาภรณ์, ตรวจสอบเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะพานางสาวจุฑาภรณ์ไป, ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ตามเส้นทาง
ในช่วงหลังจากวันที่ 3 ก.ค.60 ที่ น.ส.จุฑาภรณ์ หายตัวไปแล้ว แต่ยังมีการติดต่อกับญาติพี่น้อง พ่อแม่ ทางแอพพลิเกชั่นไลน์ ว่าตัวเองสบายดี แต่รู้สึกเหนื่อยจึงขอพักผ่อนสักพักก่อนจึงจะกลับบ้าน ขณะนี้อยู่ที่โน่นที่นี่ ย้ายไปเรื่อยๆ ญาติสงสัยว่าคนที่โพสต์ข้อความในไลน์จะเป็น น.ส.จุฑาภรณ์ จริงหรือคนอื่นปลอมมาใช้ไลน์ของ น.ส.จุฑาภรณ์ เมื่อขอให้ปลายสายใช้วีดิโอคอลทางโน้นก็ไม่ยอมใช้ โดยบ่ายเบี่ยงอยู่เรื่อยมา และผู้ที่ใช้ไลน์ของ น.ส.จุฑาภรณ์ ยังหลอกให้ญาติและเพื่อนของ น.ส.ฑาภรณ์โอนเงินให้หลายครั้ง เป็นเงินนับแสนบาท
วันที่ 10 ส.ค.60 ตำรวจชุดสืบสวนพบว่ามีการขายรถยนต์เก๋ง โตโยต้า รุ่นวีออส สีบรอนส์ ทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ ของ น.ส.จุฑาภรณ์ และรถจอดทำสีอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์ในเขตเทศบาลเมืองอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่สอบสวนประเด็นนี้พบว่า วันที่ 3 ก.ค.60 เวลาประมาณบ่ายสามโมง ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ "ผู้กองเหน่ง" นายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้บ้านของ น.ส.จุฑาภรณ์ ได้โทรศัพท์ติดต่อกับนางสุชาวดี ปทุมอินทน์ นายหน้าซื้อ-ขายรถยนต์ที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้ขายรถยนต์คันของ น.ส.จุฑาภรณ์
ในวันที่ 4 ก.ค.60 เวลาประมาณ 10,00 น. ร.อ.ศุภชัย ได้นำรถยนต์ของ น.ส.จุฑาภรณ์ ไปหลอกให้ นางสุชาวดี นายหน้าซื้อ-ขายรถยนต์เพื่อเอาไปขายต่อพร้อมแสดงคู่มือรถยนต์ฉบับจริง-บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง พร้อมเอกสารประกอบการซื้อขาย-โอน-และหนังสือมอบอำนาจ รถยนต์ของ น.ส.จุฑาภรณ์ ให้และแสดงให้ นางสุชาวดี ได้ตรวจดู
พร้อมกับยืนยันว่า น.ส.จุฑาภรณ์ เดือดร้อนเรื่องเงิน จนนางสุชาวดี หลงเชื่อจึงได้ให้นายวิฑูรย์ ท้าวแก้ว ซึ่งเป็นนายหน้า-ซื้อขายรถยนต์อีกคนเอาไปขายต่อให้นายประกรรษวัต หรือตั้ม คณะพันธ์ จนนายประกรรษวัต หรือตั้ม หลงเชื่อว่าเจ้าของรถที่แท้จริงได้มอบอำนาจให้นำรถยนต์มาขายจริงจึงได้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไว้ ในราคา 175,000 บาท พร้อมหลักฐานการซื้อขาย จากการสอบสวนปากคำ ซึ่งบุคคลในที่ทำงานของ น.ส.จุฑาภรณ์ และนายวิทยา เกษแก้ว สามี ยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือที่เซ็นชื่อในเอกสารการมอบอำนาจของ น.ส.จุฑาภรณ์ เป็นการทำปลอมขึ้นมา
พนักงานสอบสวน ได้ออกมายเรียก ร.อ.ศุภชัย ภาโส เป็นผู้ต้องสงสัยในการหายตัวไปของนางสาวจุฑาภรณ์ กระทั่งวันที่ 11 ส.ค.60 รงอ.ศุภชัย ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา รงอ.ศุภชัยว่า หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น, ลักทรัพย์หรือรับของโจร, ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม, เอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากผู้ต้องหาเข้าพบพนักงานสอบสวนเองและผู้ต้องหาเป็นทหาร จึงมอบให้ผู้บังคับบัญชารับตัวไป
เมื่อวันที่ 16 ต.ค.60 เวลา 10.00 น.พนักงานสอบสวนได้เรียกให้มาพบ ณ สถานีตำรวจภูธรกันทรลักษ์ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ดังนี้
1.ข้อหา เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน (ม.5)
2.ข้อหา เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน (ม.7)
3.ข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน (ม.14)
4.ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์แสดงตนเป็นคนอื่นหรือรับของโจร กรณีหลอกให้ นางหมายปอง อุ่นอ่อน โอนเงิน 20,000 บาทเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 กรรมที่ 1 ข้อ
5.ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์แสดงตนเป็นคนอื่นหรือรับของโจร กรณีหลอกให้ นางสาวศิรินทร์ดาวัลย์ สีดาชมพู จำนวน 19,800 บาท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 กรรมที่ 2 ข้อหาที่
6.ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์แสดงตนเป็นคนอื่นหรือรับของโจร กรณีหลอกให้ นางรัตนาภรณ์ ลาพันธ์ โอนเงิน จำนวน 59,000 บาท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 กรรมที่ 3 และนำตัวไปฝากขังต่อศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ศาลอนุญาตให้ฝากขังตามคำขอ แต่ ร.อ.ศุภชัย ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีหลักประกันเป็นเงินจำนวน 600,000 บาท
จากการติดตามค้นหา น.ส.จุฑาภรณ์ ของตำรวจชุดสืบสวนกับญาติและเพื่อนบ้านตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าห้วยผึ้ง และฐานปฏิบัติการอนุพงษ์ ทางขึ้นสามเหลี่ยมมรกต ชายแดนไทย-ลาวด้านอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีระเบิดเต็มไปหมด
จนกระทั่งวันที่ 23 ต.ค.60 เจ้าหน้าที่พร้อมญาติได้พบกะโหลกศรีษะ, ชิ้นส่วนกระดุก, เส้นผม, เข็มขัดด้านถักสีกากีแบบข้าราชการพลเรือน, นาฬิกาข้อมือ ซึ่งของทั้งหมดญาติยืนยันว่าเป็นของนางสาวจุฑาภรณ์ จึงสรุปได้ว่านางสาวจุฑาภรณ์ถูกฆาตกรรม ถูกฆ่าแล้วนำศพไปทิ้งบริเวณดังกล่าว และตามทางการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องสงสัยคือ ร.อ.ศุภชัย ภาโส
พนักงานสอบสวนจึงได้เรียก ร.อ.ศุภชัย มาพบพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 30 ต.ค.60 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก คือ 1.ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ข้อหาที่ 2.หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคสอง 3.ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199
หลังแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว นำตัวผู้ต้องหา ไปที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ และยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง (ประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี) ประกอบกับมีการนำเสนอข่าวจากสื่อมวลชนว่าพบ DNA ในกระดูกตรงกับของ น.ส.จุฑาภรณ์ และจะมีการแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแก่ผู้ต้องหา เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และผู้ต้องหาเป็นทหารที่ทำงานในพื้นที่เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายอย่างอื่น อันเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน และผู้ต้องหาทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการข่าวในพื้นที่ เกรงว่าจะมีอิทธิพลในการข่มขู่พยาน ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ไต่สวนแล้ว มีคำสั่งเพิกถอนหลักประกันผู้ต้องหา และมีคำสั่งขังผู้ต้องหา จำนวน 10 วัน (30 ต.ค.2560 ถึง 8 พ.ย.2560) ตามคำร้องฝากขัง ที่ 800/60 ลง 30 ต.ค.2560 ผู้ต้องหาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้อง ปัจจุบัน ร.อ.ศุภชัย ถูกควบคุมอยู่ที่เรือนจำจังหวัดกันทรลักษ์
คดีนี้มีผู้ต้องหารวม 4 คนคือ ร.อ.ศุภชัย หรือเหน่ง ภาโส ผู้ต้องหาที่ 1, นางสุชาวดี ปทุมอินทน์ ผู้ต้องหาที่ 2, นายวิฑูรย์ ท้าวแก้ว ผู้ต้องหาที่ 3 และนายประกรรษวัต คณะพันธ์ ผู้ต้องหาที่ 4
พนักงานอัยการได้สรุปสำนวนส่งศาลจังหวัดกันทรลักษ์ และศาลได้ไต่สวนสืบพยาน จนครบและนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 14 มี.ค.62 นี้ ซึ่งญาติของ น.ส.จุฑาภรณ์ ที่ได้รอฟังคดีมานาน ก็ตื่นเต้นกัน
ขณะที่นางแหลม อุ่นอ่อนอายุ 62 ปี แม่ของ น.ส.จุฑาภรณ์ หรือ ผอ.อ้อย กล่าวว่า หลังจากที่ได้พบกระดุกแล้วก็ทำให้สบายใจไปได้ระดับหนึ่งสบายใจที่พบลูกแล้ว ไม่ต้องตามหากันอีก เพราะตั้งแต่ลูกหายไปพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ รวมถึงผู้สื่อข่าวต้องลำบากด้วยกันทั้งหมด ช่วยกันตามหา โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวที่มาคอยจี้คอยติดตามจึงได้พบ แต่เมื่อถึงวันใกล้จะตัดสินก็คิดมากอีก คิดว่าศาลจะตัดสินอย่างไร จะลงโทษผู้ต้องหาได้หรือไม่ คิดจนนอนไม่หลับอีก
ด้านนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี พ่อของ ผอ.อ้อย กล่าวว่า เท่าที่ได้ฟังศาลไต่สวนพยานหลักฐาน ซึ่งมีพยานทั้งหมด 77 ปาก แล้วตนเชื่อว่า คดีนี้หลักฐานแน่นหนาเพียงพอที่จะทำให้ศาลลงโทษผู้ก่อเหตุได้แน่นอน ซึ่งในความรู้สึกของตนผู้เป็นพ่อ คนที่ก่อเหตุฆ่าลูกตนในครั้งนี้กระทำอย่างโหดเหี้ยม จึงต้องการให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้ก่อเหตุถึงขึ้นประหารชีวิต ขอให้ประหารสถานเดียว ประหารแล้วก็ประหารอีกจึงจะสาสมกับความโหดเหี้ยม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี