ฝรั่งเศส นับได้ว่าเป็นประเทศที่มีบทบาทในประวัติศาสตร์ของไทยมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นราชธานี และไม่เพียงเฉพาะในอยุธยา แต่บทบาทของฝรั่งเศสยังแผ่ขยายมาถึงจันทบุรี ขณะที่ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ปกครองกรุงศรีอยุธยานั้น บาทหลวงสมาคมหรือคณะมิชชั่น แห่งกรุงปารีส ได้เคยเข้ามาตั้งสำนักและโบสถ์ในเมืองจันทบุรี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฝรั่งเศสได้มีบทบาทเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังเหตุการณ์ ร.ศ.112 โดยในช่วงนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคล่าอาณานิคมในช่วงท้าย ๆ โดยชาติตะวันตกรวมถึงฝรั่งเศสได้เข้ามามีอิทธิพลสำคัญทางแถบเอเชียมากขึ้นทุกที ซึ่งจุดประสงค์ที่สำคัญก็คือการแสวงหาอาณานิคม
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำเนินวิเทโศบายเช่นเดียวกับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ทรงยอมรับว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องผูกสัมพันธไมตรีกับพวกฝรั่ง และจากการที่พระองค์ได้เสด็จประพาสต่างประเทศหลายครั้ง จึงทรงนำเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ทรงพบเห็นมาปรับปรุงประเทศชาติ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือของพวกฝรั่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของพวกฝรั่งชาติตะวันตกได้ โดยเฉพาะชาติอังกฤษและฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ.2436 เมอสิเออร์ เดอลองล์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศส ได้เสนอต่อรัฐสภาฝรั่งเศสเร่งรัดให้ รัฐบาลฝรั่งเศสใช้กำลังกับไทยในปัญหาเขตแดน ซึ่งเคยเป็นของญวนและเขมรจากนั้นฝรั่งเศสก็ได้ยกกำลังทหาร เข้ามาประชิดฝั่งซ้ายของลำแม่น้ำโขง และส่งเรือปืนลูแตง เข้ามายังกรุงเทพฯ เมื่อต้น พ.ศ.2436 โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครอง ผลประโยชน์ของฝรั่งเศสที่มีอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลไทยจำต้องยินยอม
เหตุการณ์มิได้ยุติลงเพียงแค่นั้น ในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกัน รัฐบาลฝรั่งเศสได้ขออนุญาตต่อรัฐบาลไทยขอนำเรือปืน 2 ลำ คือ เรือแองคองสตังค์ และเรือโคแมต เข้ามายังประเทศไทย รวมกับเรือลูแตงที่มาประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วรวมเป็น 3 ลำ ซึ่งรัฐบาลไทยได้พิจารณาเห็นว่าการที่ต่างประเทศนำเรือของตน เข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพ เกิน 1 ลำ เป็นสิ่งที่ไม่น่าปลอดภัย รัฐบาลไทยจึงตอบปฏิเสธไป
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายไทยก็มิได้นิ่งนอนใจ เพราะการตอบปฏิเสธเช่นนั้น ย่อมเป็นที่ไม่พอใจของฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีพระบรมราชโองการให้กองทัพเรือ เตรียมกำลังป้องกันการล่วงล้ำอธิปไตย โดยมี นายพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธินทร์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เป็นผู้อำนวยการการป้องกันปากน้ำเจ้าพระยา โดยได้วางแผนปฏิบัติการป้องกันการบุกรุกของกองเรือรบฝรั่งเศสที่ปากน้ำเจ้าพระยา ดังนี้คือ
- สั่งให้ป้อมพระจุลจอมเกล้าซึ่งได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดสร้าง และป้อมฝีเสื้อสมุทร ซึ่งติดตั้งปืนอาร์มสตรอง ขนาด 6 นิ้ว อันทันสมัยเตรียมพร้อม เพื่อจะหยุดยั้งการบุกรุกของเรือรบฝรั่งเศส อันอาจเกิดขึ้นได้
- สั่งให้เรือรบ 9 ลำ ประกอบด้วย เรือปืนมกุฎราชกุมาร เรือปืนมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือหาญหักศัตรู เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือทูลกระหม่อม เรือฝึกและเรือวางทุ่นระเบิด ซึ่งส่วนใหญ่มีชาวต่างชาติเป็นผู้บังคับการเรือ เตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านเหนือของป้อมพระจุลจอมเกล้าเล็กน้อย เรือที่วางกำลังป้องกันเหล่านี้ ส่วนมากเป็นเรือล้าสมัย หรือเป็นเรือกลไฟ ประจำในแม่น้ำ มีเรือที่ทันสมัยเพียง 2 ลำ เท่านั้น คือ เรือมกุฎราชกุมาร และเรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ รวมทั้งได้วางเครื่องกีดขวางที่ปากน้ำเจ้าพระยา เช่น ตาข่าย สนามทุ่นระเบิด และสนามยิงตอร์ปิโด
ครั้นในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ คือ เรือสลุปแองคองสตังค์ และเรือปืนโคแมต ได้รุกล้ำสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามายังพระนคร หมู่ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ได้ยิงด้วยนัดดินเปล่าเพื่อเป็นการเตือนเรือรบฝรั่งเศสไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้
ในที่สุดต่างฝ่ายก็ระดมยิงโต้ตอบกัน เรือรบไทยที่จอดอยู่เหนือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ทั้ง 9 ลำ ต่างก็ระดมยิงไปยังเรือรบฝรั่งเศส การรบได้ดำเนินไปเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษก็ยุติลง เพราะความมืดเป็นอุปสรรค เรือแองคองสตังต์ และเรือโคแมต ที่ได้รับความเสียหายบางส่วน สามารถตีฝ่าแนวป้องกันที่ปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ และเทียบท่าอยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส โดยมีทหารประจำเรือเสียชีวิตรวม 3 นาย และเรือนำร่อง ถูกยิงเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง ส่วนฝ่ายไทย เรือมกุฎราชกุมารถูกกระสุนปืนใหญ่ 1 นัด ที่หัวเรือ และถูกกระสุนปืนเล็ก เป็นจำนวนมาก เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ถูกกระสุนปืนใหญ่ 2 นัด ที่ข้างเรือกราบซ้ายตรงห้องเครื่องจักร 1 นัด ที่ส่วนบนเรือ 1 นัด และถูกกระสุนปืนเล็กเป็นจำนวนมาก สำหรับ เรือหาญหักศัตรูถูกยิง ที่ท้ายเรือมีช่องโหว่ เรือทูลกระหม่อมถูกกระสุนปืนใหญ่ 1 นัด ที่หัวเรือ
ในการรบทางเรือที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะ ฝรั่งเศสได้ใช้กําลังบีบบังคับและยื่นคําขาดให้ไทยยกดินแดนของลาวทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงกับเขมรส่วนนอก ซึ่งเคยเป็นประเทศราชของไทยให้กับฝรั่งเศส และในระหว่างที่รอให้สัญญาต่างๆ มีผลบังคับใช้ ฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบุรี ไว้เป็นประกัน จนถึงปี พ.ศ. 2448 โดยเหตุผลที่เลือกยึดเมืองจันทบุรีก็เพราะเป็นเมืองที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ เป็นจุดที่ควบคุมอ่าวไทยที่ติดต่อกับแหลมมลายูของอังกฤษ เป็นทางผ่านเข้าไปยังสามจังหวัดของไทยที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ บ่อพลอย บ่อไพลิน ในเขตเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ
นอกจากนั้นเมืองจันทบุรี ยังมีท่าเรือที่ปากแม่น้ำ และมีอู่ต่อเรือระวางตั้งแต่ 300 – 400 ตัน ดังนั้น การยึดเมืองจันทบุรี ก็เท่ากับการยึดท่าเรือ อู่ต่อเรือ และเรืออื่นๆ ไว้เป็นการตัดกําลังไทยทางอ้อมด้วย
กองทหารฝรั่งเศสได้ตั้งค่ายทหารขึ้นในบริเวณบ้านลุ่ม หรือบริเวณที่เป็นค่ายตากสิน
ในปัจจุบันและที่ปากน้ำแหลมสิงห์ รวมทั้งได้สร้างสิ่งปลูกสร้างอีกหลายหลัง ปัจจุบันหลักฐานร่องรอยทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจันทบุรีที่บ้านลุ่ม ปรากฏให้เห็นอยู่ภายในค่ายตากสินเท่านั้น อาคารที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นและยังคงอยู่ถึงปัจจุบันได้แก่ อาคารกองบัญชาการ อาคารกองรักษาการณ์ อาคารที่พักทหารฝรั่งเศส อาคารคลังพัสดุ อาคารคลังแสงหมายเลข 5 อาคารคลังแสงหมายเลข 6 ซึ่งภายหลังจากที่ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทยในปีพุทธศักราช 2448 อาคารต่างๆ ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นภายในค่ายตากสิน ได้ใช้เป็นที่ตั้งของหน่วยราชการของไทยอย่างต่อเนื่อง จวบจนปี พ.ศ.2488 ได้มีการส่งมอบให้กองทัพเรือ ใช้เป็นที่ตั้งของกองพันทหารราบที่ 2 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ค่ายตากสิน)
จากเหตุการณ์ ร.ศ.112 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่าการว่าจ้างชาวต่างประเทศ เป็นผู้บังคับการเรือ และป้อมนั้นไม่เป็นหลักประกันพอที่จะรักษาประเทศได้ สมควรที่จะต้องบำรุงกำลังทหารเรือไว้ป้องกันภัยด้านทะเล และต้องใช้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศทั้งหมด และการที่จะให้คนไทย ทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศ ได้นั้นต้องมีการศึกษาฝึกหัดเป็นอย่างดีจึงจะใช้การได้ จึงทรงส่ง พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ออกไปศึกษาวิชาการ ทั้งในด้านการปกครอง การทหารบก ทหารเรือ และอื่น ๆ ในทวีปยุโรป รวมทั้งได้ทำการฝึกนายทหารเรือไทยเพื่อปฏิบัติงานแทนชาวต่างประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดังนั้น เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเป็นการปลุกจิตสำนึกให้คนไทยหวงแหนอธิปไตยของชาติ กองทัพเรือ จึงได้กำหนดจัดงาน 127 ปี รำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานที่ ได้ใช้เป็นที่ยิงต่อสู้กับเรือรบฝรั่งเศสในวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112
นอกจากนั้นในส่วนของโบราณสถานในค่ายตากสิน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสําคัญทางประวัติศาสตร์ ก็ได้เปิดให้เข้าชมนิทรรศการประวัติศาสตร์ ซึ่งจัดแสดงถาวรเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นแหล่างศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง
โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทยในการประสานกับคณะกรรมการสมาคมชาวฝรั่งเศส - ไทยเพื่อสาธารณประโยชน์ ตลอดจนตัวแทนของภาคเอกชนชาวฝรั่งเศสในไทย โดยทิ้งแนวคิดการออกล่าอาณานิคมไว้เบื้องหลัง และจับมือสมานฉันท์เป็นมิตรประเทศ จนทำให้สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสในค่ายตากสินทั้ง 7 หลัง กลับมางดงาม และควรค่าแก่การศึกษาอีกครั้ง เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี