ก่อนอื่น ต้องอธิบายให้ท่านผู้อ่านรุ่น GEN X, Y, Z (เกิด 2508 - 2523, 2523 - 2543 และ 2540 ขึ้นไปตามลำดับ) ได้ทราบเสียก่อนว่า ฮาราคีรี คืออะไร เพราะหากท่านมีบิดา มารดาที่เป็น GEN Baby Boomer คือเกิดมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2489 - 2507 หรือหลังจากนั้น) ก็คงจะไม่คุ้นกับคำว่า Harakiri เท่าใดนัก จึงไม่มีเรื่องราวไปเล่าสู่ลูกหลานที่เป็น GEN X, Y, Z ได้ทราบกันนักว่า HARAKIRI เป็นอะไร มาจากไหน
ฮาราคีรี เป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ซึ่งมีมาหลายร้อย หรือหลายพันปีแล้ว โดยคนญี่ปุ่นจะทำการฆ่าตัวตายโดยการคว้านท้องตนเอง (ฮาราคีรี) จนเสียชีวิต เมื่อมีเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น
ผิดหวังอย่างสุดที่จะทนได้
รักษาเกียรติยศ หรือคำพูดของตน
เสียใจอย่างสุดซึ้ง
สำนึกในความรับผิดชอบในกิจการที่ตนดูแลอยู่
สำนึกในความผิดที่ตนทำไป
ในปัจจุบันการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นก็ยังมีอยู่มาก มักจะมีสาเหตุมาจาก
1.สำนึกในความรับผิดชอบ, ในกิจการที่ตนจัดการดูแลอยู่ เช่น รวบรวมเงินเพื่อนๆ ลงทุนในประเทศไทย แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็จำต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยการฆ่าตัวตาย มีนักธุรกิจญี่ปุ่นในไทยบางคนได้ทำมาแล้ว
2.ผิดหวังในชีวิตอย่างสุดที่จะทนได้ เช่น กรณีโจโจ้ซัง ซึ่งมีบุตรกับ พิงเคอร์ตัน นายทหารเรืออเมริกัน แล้วสัญญาว่าจะมารับภายใน 3 ปี เมื่อมาเข้าจริงๆ กลับพาภรรยาใหม่ชาวอเมริกันมาด้วย และยังจะขอลูกโจโจ้ซัง ไปด้วย โจโจ้ซังจึงหยิบมีดที่บิดา ซึ่งเป็นซามูไรเก่า ผู้ได้ทำฮาราคีรีตนเองอย่างสมศักดิ์ศรี มาทำอัตวินิบาตกรรม ซึ่งในใบมีดจารึกไว้ว่า “พึงตายไว้เกียรติยศตน อย่ามีชนม์เมื่อเกียรติมลาย”
3.สำนึกในความรับผิดชอบในภารกิจของตน ที่มิได้ดูแล กิจการที่ตนรับผิดชอบ ให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ หรือเกิดการคอร์รัปชั่น จนเสียหายอย่างรุนแรงในองค์กร ไม่ว่าองค์กรนั้น จะเป็นการธนาคาร การอุตสาหกรรม หรือหน่วยงานของรัฐ จึงต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการฆ่าตัวตาย
4.สำนึกในความผิดที่ตนกระทำขึ้นภายในองค์กรนั้นๆ เช่นเป็น CEO ของบริษัทใหญ่ๆ หรือเป็นนายกเทศมนตรีของเทศบาลขนาดใหญ่ แล้วตนหรือครอบครัวไปหาประโยชน์โดยมิชอบ หรือที่เรียกว่า คอร์รัปชั่น จึงฆ่าตัวตายด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยความสำนึกผิด
5.รักษาเกียรติยศของตนเอง และของสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น กรณีของพลเอกโตโจ อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น นำประเทศญี่ปุ่นเข้าสงครามโลกสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939 - 1945) จนกระทั่งญี่ปุ่นเสียทหารไปอย่างมากมาย และประเทศญี่ปุ่นถูกอเมริกันทิ้งระเบิดปรมาณู ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1945 คนบาดเจ็บล้มตายหลายแสนคน พลเอกโตโจ พยายามฆ่าตัวตายก่อน แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกจับกุมตัวขึ้นศาลอาชญากรสงครามฝ่ายพันธมิตร เขาได้ยืนยันความรับผิดชอบแต่ผู้เดียวในการเกิดสงครามและให้การว่าสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ มิได้ทรงเกี่ยวข้องกับการเริ่มสงครามเลย เขาจึงถูกศาลลงโทษให้ประหารชีวิตในข้อหาอาญากรสงคราม ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2491 (ค.ศ.1948)
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2561 มีข่าวข้าราชการประจำระดับสูงสูดในกระทรวงหนึ่งของประเทศไทย ฆ่าตัวตายในห้องพัก เพราะถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอผลการสอบสวนที่กำลังดำเนินการอยู่ ทั้งๆ ที่ยังมิได้มีการสรุปผลการสอบสวน และยังมิได้ถูกตั้งข้อหาทางอาญาด้วยซ้ำ
จึงนับเป็นตัวอย่างที่ดีของข้าราชการประจำ และพนักงานของรัฐ ว่าเมื่อมีการเสียหายขึ้นในหน่วยงานตน ก็จะมีความสำนึกรับผิดชอบ การฆ่าตัวตายแสดงความรับผิดชอบ ก็เป็นการแสดงออกซึ่งสปิริต ซึ่งไม่ควรจะถูกประณาม
เหตุการณ์ไม่ฟ้องคดี ที่เกิดมีเรื่องอื้อฉาวขึ้นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม นี้ จนสำนักงานอัยการฯสำนักงานตำรวจฯ และนายกรัฐมนตรีเอง ต้องตั้งกรรมการค้นหาข้อเท็จจริง และลงมาเล่นเองอย่างใกล้ชิด นำความเสื่อมเสียมหาศาลมาสู่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทั้งส่วนที่อยู่ในระยะต้นน้ำ (ตำรวจ) ระยะกลางน้ำ (อัยการ) แต่มิได้ไปไกลถึงระยะปลายน้ำ (ศาล)
ทั้งต้นน้ำ และกลางน้ำ อยู่ในอำนาจบริหาร หรือรัฐบาลทำเอาต่างประเทศออกมาประณามประเทศไทยกันอย่างนึกไม่ถึง มีชาวญี่ปุ่นนายหนึ่ง อุตส่าห์เขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ในเวลานี้ ว่า
ประเทศไทยสร้างปัญหา (ให้ตนเอง) 100 ปี
เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัวของครอบครัวคนมีเงิน
ผู้กระทำผิดกลับเดินทางไปทั่วโลก และสุดท้ายก็ไม่ถูกฟ้อง
ต่างประเทศจะไม่เชื่อถือประเทศไทย
หากรณีแบบนี้ไม่ได้เลยในต่างประเทศ
คุณอยากทำงานในประเทศแบบนั้นไหมครับ
คุณอยากลงทุนในประเทศแบบนั้นไหมครับ
เรื่องนี้ทำให้ประเทศไทยเสียเครดิต (ความน่าเชื่อถือ) กับต่างประเทศไปอีกเป็น 100 ปี
สิ่งที่ทำลายประเทศไทยไม่ใช่ต่างประเทศ
สิ่งที่ทำลายประเทศไทยคือคนไทยบางคนเอง
เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นกำกับมาทุกบรรทัดเสียด้วย
แล้วสิ่งที่ทำลายประเทศไทย คือคนไทยบางคนเอง
ใครเล่าคือคนไทยคนนั้น และกลุ่มนั้น
ท่านผู้อ่านที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง อ่านแล้วคงอายแทนประเทศไทยกันเหลือเกิน
แล้วคนไทยคนนั้น และกลุ่มนั้น เขารู้สึกอายบ้างไหม และมีความสำนึก 1 ใน 5 ข้อข้างต้นแบบคนญี่ปุ่นก่อนทำฮาราคีรี บ้างไหม
ถ้าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในญี่ปุ่น คงเห็นข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำฮาราคีรีกันไปหลายคนแล้ว
อย่าว่าแต่ญี่ปุ่น ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ท่านหนึ่งก็เคยกระโดดหน้าผาตาย เมื่อมีข่าวคอร์รัปชั่นที่ญาติของท่านเป็นต้นเหตุ และอาศัยความเป็นญาติ
นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็เคยฆ่าตัวตาย เมื่อมีข้อครหาในเรื่องคอร์รัปชั่น
ผมไม่อยากถามว่า กรณีนี้ ซึ่งน่าจะมีผู้เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 10 คน (หรือมากกว่า)
ผมไม่อยากแนะนำให้ท่านใดท่านหนึ่งไปทำฮาราคีรีเพราะคำแนะนำผมคงจะเป็นบาปแต่ผมอยากจะให้ ใครคนหนึ่งใครคนเดียว ของ GEN X ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ออกมาสารภาพเสีย ออกมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเสีย
ผู้อื่นที่เขาเกี่ยวข้อง ก็จะได้ขอเกษียณก่อนกำหนด (Early retirement) หรือออกไปบวชล้างบาปกันเสียที่วัดพุทธคยา ประเทศอินเดีย
แล้วคำว่า “สูงสูด” หรือ “แห่งชาติ” ที่ใช้กับหน่วยงานบางหน่วย ตำแหน่งงานบางตำแหน่ง ก็ควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเสียด้วยพร้อมๆ กัน ในเมื่อคำว่า “สูงสุด” หรือ “แห่งชาติ” กลายเป็นคำที่ไม่ได้รับการเชื่อถือเสียแล้ว
คุณประเทือง กีรติบุตร เคยเป็นอธิบดีกรมอัยการ ผู้คนยกย่องนับถือในความซื่อตรง จนต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
คุณคนึง ฤาชัย ก็เคยเป็นอธิบดีกรมอัยการ มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน และก็ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เช่นกัน
แต่ผู้มาใช้คำว่า “สูงสุด” หลายท่าน มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีใหญ่ๆ มาตั้งแต่ยุครัฐบาลสมัคร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ยังทำกันอยู่
ผมเศร้าใจแทนท่านนายกฯ พลเอกประยุทธ์
ไหนจะเจอปัญหา COVID-19 ซึ่งไปกระทบทั้งสุขภาพ ความเป็น ความตาย และปากท้อง ของประชาชน
ไหนจะเจอกับปัญหาหน่วยงานที่ลงท้ายด้วยคำว่า “สูงสุด” และคำว่า “แห่งชาติ” ซึ่งอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (อำนาจบริหาร มิใช่อำนาจตุลาการ แต่ก็เป็นผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม) ทำเอาต้องโดดลงมาตั้งกรรมการเอง
แล้วล่าสุด เจอเรื่องยิงกันในบ่อนใหญ่ที่เปิดกันมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 และผู้รักษากฎหมายของสำนักงาน............แห่งชาติ ถูกยิงตายกันไปด้วย
ท่านที่อยู่ในสำนักงาน...............สูงสุด และสำนักงาน............แห่งชาติ ขอให้ช่วยกันประคับประคองเกียรติยศ ที่ได้มอบแก่ตัวท่าน และสำนักงานของท่านด้วย
หรือจะกลับเป็นกรม มีอธิบดีเป็นหัวหน้า เช่นเดิม จะได้ไม่มีเรื่องอื้อฉาว เช่นนี้
บทความนี้เขียนให้ GEN X, Y, Z อ่านด้วย มิฉะนั้น เดี๋ยวจะไม่มีใครสอบเข้าเป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
แล้วใครจะเข้ามาดูแลประชาชนคนไทยกันเล่า?
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี