ต่อไปนี้จะว่าด้วย "คาถาพระปัจเจกโพธิ์" ที่บันทึกไว้ในหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งท่านได้ตอบปัญหาธรรมเกี่ยวกับ "อานิสงส์คาถาพระปัจเจกโพธิ์" ไว้ดังนี้ (อ่าน 'อานิสงส์การอุปสมบทบรรพชา' คือ 'บวชเป็นพระ บวชเป็นเณร' : หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาธรรม)
"พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหมฯ"
ในปัจจุบันนี้ภาวะทางเศรษฐกิจย่ำแย่ ตามบริษัทห้างร้านต่างๆ ต่างคนต่างบ่นกันพึมพำ ชาวบ้านหรือก็หนักใจ เมื่อพูดถึงเรื่องจนก็ทำให้นึกถึง คาถาวิระทะโย
คาถาบทนี้มีความสำคัญมาก พวกเราทุกคนควรจะทำให้ได้เป็นพื้นฐานไว้ก่อน คาถาบทนี้ทำขึ้นน้อยๆ ถ้าเงินมันขาดมือจะชดใช้กันทัน ถ้าหากทำขึ้นเต็มอัตรา เงินจะเหลือใช้ แต่ต้องทำเป็นสมาธินะ การทำสมาธินี่ไม่ต้องนั่งก็ได้ ถ้าว่างตอนไหนก็นึกว่ามันเรื่อยไป ขายของอยู่ ทำงานอยู่ พอว่างนิดก็ว่าไป เดินไปนึกขึ้นได้ก็ว่าไป
คาถาวิระทะโย นี้ใครทำเป็นสมาธิได้ ถ้าทำถึงอุปจารสมาธิ ตอนนี้เงินไม่ขาดตัวแน่ ถ้ามีความจำเป็นมากจริงๆ มักจะหาได้ทัน ถ้าเข้าถึงขั้นปฐมฌานตอนนี้ละขังตัว ไม่ใช่พอใช้นะ เหลือใช้เลย แต่ต้องทำได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปนะ
คาถาบทนี้มีคนใช้ได้ผลมาเยอะแล้ว คนที่ใช้ได้ผลคนแรกสุดคือ นายห้างขายยาตราใบโพธิ์ ที่ว่าเป็นคนแรกเพราะอะไร เพราะตอนนั้น หลวงพ่อปาน ท่านไปเรียนมาจาก ครูผึ้ง ซึ่งอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้มาจากพระธุดงค์องค์หนึ่ง และพระธุดงค์องค์นี้ท่านก็บอกมาว่าเป็น คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ตามปกติครูผึ้งท่านรักษาศีลอยู่แล้ว ก่อนที่พระธุดงค์จะไป ท่านได้ให้คาถาบทนี้และบอกว่า "ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตร ก่อนจะใส่บาตรก็ให้ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบ แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมา ให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้ เงินนั้นให้ใช้เป็นค่าอาหาร มากน้อยตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องไปรอพระมา ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควร ก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร แล้วท่านจะนำไปใช้ค่าอาหาร หรือเอาไปใช้ก่อสร้างก็เป็นเรื่องของท่าน แต่เรามีเจตนาเป็นค่าอาหารแล้วกัน เท่านั้นก็พอ"
แล้วท่านก็บอกอีกว่า "ก่อนปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หว่านข้าว ดำข้าว ก็ว่าคาถานี้หนึ่งจบตามวิธีการของท่าน เวลาบูชาพระกลางคืนให้ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบก็ได้ นอกจากนั้นก็ควรเจริญสมาธิ ถ้าเจริญเป็นสมาธิ แต่บูชาพระกับตอนใส่บาตร ท่านบอกว่ามีสภาพเป็นเบี้ยต่อไส้ หมายความว่าถ้าจะหมดตัวจริงๆก็จะหาได้ทัน"
ฉันเคยโดนบ่อยๆ ในระยะต้นๆ โดนเองถึงรู้ แต่พอจวนตัวก็จะมีมาทุกครั้งไป ถ้าภาวนาให้จิตเป็นฌานจะมีผลมาก และมีวิธีการปฏิบัติเพื่อเจริญอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าห้ามพูดนะถ้ารู้ว่าเงินเกิน เวลาที่เราบูชาพระด้วยคาถาบทนี้กี่จบ เวลาที่จะเก็บสตางค์ให้ถือสตางค์ไว้ แล้วยื่นลงไปในที่สำหรับเก็บเงิน มือมันจะกำสตางค์อยู่ แล้วว่าคาถาบทนี้เท่านั้นจบ ว่าเสร็จแล้วปล่อยมือออกเป็นอันว่าใช้ได้
ทีนี้เวลาที่จะนำสตางค์ไปใช้ ท่านให้หยิบสตางค์อันนั้นแต่ว่าห้ามนับเงิน แล้วว่าคาถาตามจำนวนที่เราบูชาพระ ดึงเอาเงินนั้นออกมา ถ้าเกินกว่าจำนวนที่เราต้องการ เวลาที่เราจะเก็บเราก็ว่าคาถาแบบนี้เหมือนกัน ถ้าทำแบบนี้ท่านบอกว่าเงินจะขาดที่นั้นไม่ได้เลย
ถ้าบางครั้งปริมาณเงินที่เราเก็บไว้ สมมติว่าเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท มันเป็นปึก เราดึงมาทั้งปึก (๑,๐๐๐ บาท) แต่ปรากฏว่าเงินมันมีอีก ห้ามนำไปพูดกับคนอื่น ถ้าพูดเงินจะหด ท่านห้ามอวด อันนี้นายห้างประยงค์เคยไปเล่าให้ฟังเหมือนกัน ท่านทำได้ผลตามนี้ และทำได้เป็นคนแรก หลังจากขอเรียนจากหลวงพ่อปาน
(ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติ ตามคำแนะนำของหลวงพ่อ ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้)
ผู้ถาม - “หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ…?”
หลวงพ่อ - “อ๋อ…ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขาย ๑ บาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ”
ผู้ถาม - “โอ้โฮ…ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ…”
หลวงพ่อ - “ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย”
ผู้ถาม - (หัวเราะ) “โอ…บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย”
หลวงพ่อ - “ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง”
ผู้ถาม - “เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ”
หลวงพ่อ - “ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่ายมันก็ไม่หมด”
วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่าง แกก็บอก “ท่านมหา มีคาถาอะไรดีๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะ จะได้หมดเร็วๆ” มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ “อนัตตา” แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรมๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสายๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด”
ผู้ถาม - “อะไรหมดครับ…?”
หลวงพ่อ - “ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่ และคนหาบยังอยู่ แหม…นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ”
ผู้ถาม - (หัวเราะ) “คือสงสัยครับ”
หลวงพ่อ - “ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อยๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม…อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ”
ผู้ถาม - “ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ…?”
หลวงพ่อ - “ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้”
ผู้ถาม - (หัวเราะ) “แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ - “ความจริง คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ของเขาดี เขาขายของ แล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้าน ก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหละ ทำตอนนั้น เอาน้ำล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ”
ผู้ถาม - “บางคนก็ว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก…?”
หลวงพ่อ - “มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถานี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนี้จึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านก็บอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอก ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้สินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น (นี่พูดถึงสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไหร่ก็คิดกันดู)
ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วันๆไม่ได้ทำอะไร นอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
“คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้” ลูกเมียแกว่างั้น ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหละ
ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริงๆ ต่แจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะงามสะพรั่ง มีพริกเยอะแยะมองดูหนาทึบไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุกๆ หงิกๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่งๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบางๆ ยอดหงุกหงิกๆ นั่นแหละ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น
มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้งๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทรายใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนัก เลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่านั้น หาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น
พริกของคนอื่นเขาเก็บกัน ๒-๓ ครั้ง ก็หมดแล้ว ครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สามเก็บได้อีกเพียงเล็กน้อย เป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้ง แล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงหมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่าๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิกๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว
ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่าพริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า “เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง” ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น (นี่เห็นไหม ถ้าหากว่าท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ)
ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติ หลังจากที่หลวงพ่อแนะนำ เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ”
หลวงพ่อ - “อาจารย์ทำยังไงล่ะ…อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ…จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง”
อาจารย์ - “อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูป โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดา ไหว้พระบูชาพระ ตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ
เสร็จแล้วเช้าตื่นมา ก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่า นะโม ๓ จบ แล้วก็ว่า คาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้ว ก็บอก อนัตตา ขายเกลี้ยง
อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมา แล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้ต่างๆ แล้วก็ลงท้าย อนัตตาขายเกลี้ยง ๆ ๆ แม้แต่หน้าร้านเราก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บ อยูไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ”
หลวงพ่อ - “อ้าว…จำได้ไหมล่ะ อันนี้มีประโยชน์ดีนะ ควรจะนำไปใช้ทุกๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน”
อาจารย์ - “แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก็ เวลาจุดธูปเทียน หรือพรมน้ำมนต์ มันจะขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละมาแน่”
หลวงพ่อ - “อ้อ…กำลังปิติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่ เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริง ก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก
การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริงๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คนที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง
ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถุงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดู ออกมาใช้มาขายแล้วตวง มันจะมากทุกคราว... จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ”
คาถาเงินล้าน
(ตั้ง นะโม ๓ จบ )
สัมปจิตฉามิ นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ
(บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
คัดลอกจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี