"พ.อ.สมศักดิ์ บำรุงศิลป์" ผู้เคยตายแล้วฟื้นกับภารกิจสร้างบารมีธรรมเนรมิตพื้นที่ลานเปล่าให้เป็น "บ้านลานเสียงธรรม" โดยได้รับแรงบันดาลใจจากท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
"พ.อ.สมศักดิ์ บำรุงศิลป์" ผู้ก่อตั้ง "บ้านลานเสียงธรรม" ที่ลาดพร้าว 71 ซอยนาคนิวาส 40 กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในบุคคลที่พ่อแม่ครูอาจารย์ฯสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนาธุระ ยอมรับและยกย่องท่านว่าเป็นผู้ที่มีหัวใจดุจพญาราชสีห์ เพราะได้ต่อสู้ด้วยขันติบารมีและวิริยะบารมีมาตลอดระยะเวลา 16 ปี ในการทำพื้นที่แห่งธรรมให้เกิดขึ้นกลางเมือง ที่ชื่อว่า "บ้านลานเสียงธรรม"
ปัจจุบัน "บ้านลานเสียงธรรม" เป็น "พื้นที่แห่งธรรมของคนเมือง" ที่ทำให้คนเมืองมีโอกาสสร้างบุญสร้างบารมีให้กับตนเอง ทั้งตักบาตรพ่อแม่ครูอาจารย์พระกัมมัฎฐาน และ ฟังพระธรรมเทศนา รวมทั้งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ฯอย่างใกล้ชิด
โดย พ.อ.สมศักดิ์ได้รับแรงบันดาลใจในการทำพื้นที่แห่งธรรมนี้จากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเป็นปีที่พันเอกสมศักดิ์ได้รับหน้าที่เป็น "ครูพี่เลี้ยง" ในหลักสูตร "ครูสมาธิ" (Willpower Institute) ที่สาขา 4 วัดใหม่เสนา จึงมีโอกาสได้อุปัฎฐากรับใช้พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ในช่วงเวลาหนึ่งในการนำภาพและเสียงของท่านตอนอยู่แคนาดามาเผยแพร่ออกอากาศสดที่สาขา 4 และได้รับคำแนะนำจากท่านให้นำพื้นที่ลานโพธิ์เดิมซึ่งเป็นพื้นที่บ้านลานเสียงธรรมในปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่เกื้อกูลแก่พุทธศาสนิกชน ผ่านกิจกรรมตักบาตร ฟังเทศน์ และฟังธรรมของพ่อแม่ครูอาจาร์ยพระกัมมัฎฐาน โดยต่อมาในปี 2549 ได้รับแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเติมคำว่า "เสียง" ใน "บ้านลานเสียงธรรม" จากหลวงพ่อสุรเสียง ซึ่งปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว
ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับนั้นทำให้ พ.อ.สมศักดิ์ มุ่งมั่นโดยมีจิตใจที่มั่นคงว่าจะทำให้บ้านลานเสียงธรรมนั้นเป็นพื้นที่แห่งธรรมของคนเมือง แม้ว่าจะต้องประสบกับอุปสรรคอะไรก็ตาม พันเอกสมศักดิ์ก็ใช้หลัก "ถอยได้ แต่ไม่ถอน"
"อุปสรรคมีอยู่ตลอด ที่ไม่ท้อ ไม่อะไรเนี่ย ไม่มี มันก็มีอยู่ตลอด แต่พอมีมาตลอดก็มาคิดว่า เราอาจจะถอยลงไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ไม่ถอนไปเลย เราก็คิดแล้วก็หาวิธีการ เหมือนกับว่า เราอยากจะทำแบบนี้ แล้วเราทำไม่ได้ เราจะถอยกลับไปตั้งหลักอย่างไรดี ก็จะอาศัยแบบนั้น หาทางตั้งหลักใหม่ สู้ใหม่ว่า เอ๊ะ อย่างนี้คือเราไม่ได้รับความสนใจแล้วเราจะทำยังไง คือ สิ่งที่เริ่มมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย คือ ไม่มีศาลา ไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของบ้านลานเสียงธรรม เราเริ่มจากชวนครูสมาธิรุ่นพี่รุ่นน้อง ตอนนั้นเราสวดมนต์ แล้วเราทำกันทุกวันโกน ก็คือ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เดือนละสี่ครั้ง" พ.อ.สมศักดิ์เปิดใจเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
พ.อ.สมศักดิ์เล่าอีกว่า ในช่วงแรกๆที่เลือกวันโกนเป็นวันจัดกิจกรรมนั้นก็คิดว่า ถ้าทำกิจกรรมวันพระ พระก็คงจะอยู่วัด แต่ว่าวันโกน ก่อนวันพระหนึ่งวัน น่าจะเหมาะ ในช่วงแรกๆก็ได้รับความสนใจ แต่พอทำได้ปีสองปี คนก็เริ่มลดลง เพราะอย่าลืมว่า วันโกนเป็นวันที่กำหนดตายตัวไม่ได้เลย ว่าตรงกับวันอะไร วันที่วันโกนไปตรงกับวันจันทร์ถึงศุกร์ มีผลหมด บางคนมาได้เฉพาะวันธรรมดา บางคนมาได้เฉพาะวันหยุด ตอนแรกก็คิดว่า คนทำจะมากันวันหยุด แต่ปรากฏว่า เราคิดผิด เพราะวันหยุดเป็นวันพักผ่อนของเขา เราก็เลยเปลี่ยนมาใช้ช่วง 18.00 นาฬิกา ถึง 21.00 นาฬิกา และหลังจากปี 2549 มีการจัดกิจกรรมตักบาตรพระป่า 9 วัด หรือ ตัดบาตรประจำเดือนเพื่อให้อยู่ได้ และทำบุญฟังธรรม ส่วนทำบุญวันโกนก็หายไป ตอนนี้ก็เหลือกิจกรรมในสัปดาห์ที่ 3 พ่วงไปด้วย
"อย่างที่นี่ก็เห็นอยู่ เข้ามาลำบากไหม หนึ่งลำบาก ถ้าไม่มีรถส่วนตัว และ พอเราจัดกิจกรรมมา ระยะหลังๆพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เริ่มลดลง เพราะท่านมรณภาพ และ ท่านก็อายุมาก ไม่สามารถที่จะเดินทางมาแสดงธรรมได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า การนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ฯจะต้องเป็นที่รู้จัก ถ้านิมนต์ ที่ไม่มีใครรู้จักท่าน ก็ไม่มีคนมาอีก คือ จะนิมนต์มาได้ พระที่จะมา ต้องเป็นที่รู้จักของญาติโยมด้วย เป็นจุดสำคัญ คนถึงจะเข้ามา เนื่องจากหนึ่งทำเลของบ้านลานเสียงธรรมอยู่ลึก และ สมัยก่อนไม่มีคนรู้จัก มีเพียงลาน ถึงเวลาก็ปูเสื่อ เลิกงานก็เก็บ เพราะฉะนั้นจึงเน้นนิมนต์สายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นเป็นหลัก" พ.อ.สมศักดิ์เล่าให้ฟัง
ระหว่างที่ "บ้านลานเสียงธรรม" กำลังทำหน้าที่เผยแพร่ธรรม ในการเป็นพื้นที่ธรรมของคนเมืองนั้น ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสีเป็นระยะๆ
"เรื่องใส่ร้ายป้ายสี เราโดนเป็นเรื่องปกติ เพราะโดนอยู่แล้ว ระยะเวลาที่ผ่านมา 10 ปีที่แล้ว ติดป้ายหน้าปากซอย เขตก็มาเก็บไปหมด เราไปติด เราไม่ได้บอกกกล่าว ไม่ได้ขออนุญาต เราทำใบปลิวไปเสียบ ไปแจกตามหมู่บ้าน เขาก็ไม่ให้ไปแจก อย่างองค์หลวงปู่เหลี่ยมฯ (พระราชสุเมธี) ผมก็กราบเรียนคุยกับท่านว่า สมัยก่อนพระมากกว่าโยม สมัยก่อนท่านก็มา อย่างสมัยก่อน หลวงพ่อวิชัยฯ (พระครูเกษมวรกิจ) มามีโยมมาปฏิบัติสิบกว่าคน นอนก็ลำบาก พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ต้องออกเงินค่าพาหนะเอง ซึ่งตั้งแต่ปี 2552-2559 ก็ทำกันไปอย่างนั้น" พ.อ.สมศักดิ์เล่าย้อนถึงอดีตกว่าจะมาเป็นบ้านลานเสียงธรรม
นอกจากนี้ พันเอกสมศักดิ์ยังเคยเป็นบุคคลที่ "ตายแล้วฟื้น" โดยมีประสบการณ์ตกน้ำตายแล้วฟื้น ตอนอายุ 4 ขวบ
"ตอนที่ตกน้ำตาย รู้สึกได้ว่าจิตมันก็พุ่งขึ้นไปข้างบน และน่าจะเป็นยมบาล พาขึ้นไปข้างบน มีอาหาร มีดอกไม้ สวยงามต่างๆมากมาย พาไปชม พอเราชมเสร็จ เราก็ชอบ เพราะว่า ข้างบน อากาศไม่เหมือนแบบนี้ หญ้ามันไม่เหมือนบ้านเรา ดอกไม้ก็ไม่เหมือนบ้านเรา มันละเอียดปราณีต บรรยากาศความละเอียดเหมือนสวิตเซอร์แลนด์ เหมือนการ์ตูน เหมือนของเด็กเล่น เราก็ไม่อยากกลับ เขาก็บอกว่า ได้เวลาแล้ว ก็พามาส่ง พอพาลงมา เราก็เห็นร่าง เรานอนแอ่งแม้งอยู่ เขาบอกว่า ต้องมาส่งแล้ว เราก็ถามเขาว่า แล้วจะนอนยังไงล่ะ แค่เงียบไปเท่านั้น ก็วูบลงมาเลย จำได้คร่าวๆได้แค่นี้ว่า ขึ้นบันได แล้วลงมา แล้วจำได้ว่า จิตมันจะถอนออกจากกายหยาบ จำได้ เวลาจะถอนมันจะพุ่งขึ้นจากข้างบน ปูดขึ้นเลยบนหัว ก็น่าจะมีส่วน เพราะในสมัยก่อน ซินแสพายเรือมา เขาเรียกเสธ.ว่าไอ้ลิง ไอ้ลิงเนี่ย เลี้ยงมันไว้ดีๆน่ะ มันตกไฟไม่ไหม้ จะป่วยบ่อย สามวันดีสี่วันไข้ พอตายแล้วฟื้น ก็จะจำไม่ค่อยได้ มีผลต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จนถึงอายุยี่สิบปี" พ.อ.สมศักดิ์เล่าให้ฟัง
พ.อ.สมศักดิ์เคยกราบเรียนท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม หรือ หลวงพ่อวิริยังค์ถึงเรื่องตายแล้วฟื้น ได้รับคำตอบว่า ที่ตกน้ำแล้วยังไม่ตาย เพราะฌาน พอเรามีฌาน เวลาตกน้ำปุ๊บ จะปิดทวารทั้งหก แล้วน้ำหรืออะไรต่างๆ จะมาทำลายทวารทั้งหกไม่ได้
ทาง พ.อ.สมศักดิ์ได้กราบเรียนถามอีกว่า ที่เห็นสวรรค์ดอกไม้อะไรต่างๆ เป็นนิมิตไหมหลวงพ่อฯ หลวงพ่อฯก็บอกว่า เด็กอายุ 4 ขวบก็ไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่ง เพียงแต่เข้าฌาน
"ตอนนั้นพอจิตเข้าร่างเสร็จ วันดีคืนดีมันนึกจะออกก็ออก คือ จะเป็นลักษณะควบคุมจิตไม่ได้ เป็นจนถึงอายุยี่สิบปี ตอนนี้มารู้ด้วยตนเองว่า ขั้นตอนต่างๆมันก็เป็นของมันแบบนี้ ตอนนั้นเรายังเด็ก เรายังไม่ได้ผ่านการฝึกฝน มันก็ออกของมันไปโดยธรรมชาติ อย่างตอนป่วย จิตมันก็ถอน สมัยก่อนอยู่บ้านสวนมีกอไผ่ จิตวิ่งทะลุกอไผ่ จิตมันไปแต่ตัวยังนอนอยู่ มันรู้สึกเจ็บ แป๊บ พอตื่นขึ้นมามันเหมือนกับเราเอาหัวหมุนๆ แล้ว งง ว่า ที่ไหน มันเหมือนอย่างนั้น คือ ตัวรู้ยังมีอยู่ แต่ต้องใช้สติ สมาธิ เพิ่มขึ้น" พ.อ.สมศักดิ์ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง
ปัจจุบัน พงอ.สมศักดิ์ ได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม ด้วยการพาผู้คนที่ร่วมบุญ ณ บ้านลานเสียงธรรม ไปเข้ากราบสรีระสังขารของพระอาจาร์ยหลวงพ่อฯ เบื้องหน้าโกศมณฑป ณ อาคารบุญญาวาส วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101
พ.อ.สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "สิ่งได้รับในการทำบ้านลานเสียงธรรมตลอดระยะเวลา 16 ปี นั่นคือ หลัก "อย่าทำตัวเด่น จะเป็นภัย" และหลักการไม่ยึดมั่นถือมั่นในองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ฯ เพราะพระอาจาร์ยหลวงพ่อวิริยังค์ เมตตาสอนมาตลอด ประกอบกับคำสอนขององค์สมณโคดมบรมครูที่ว่า ให้ยึดธรรมท่านเป็นหลัก อย่ายึดมั่นในตัวท่าน เพราะธรรมนั้นจะเป็นศาสดาแทนเรา เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้พันเอกสมศักดิ์จะไม่ยึดในตัวครูบาอาจารย์ฯต่างๆ และ จะไม่ดูแลใกล้ชิดองค์ใดองค์หนึ่ง รวมไปถึงการได้เรื่องของขันติบารมี และ วิริยะบารมี"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี