(ต่อจากตอนที่แล้ว) ตามรอยพระอริยะเจ้า! 'หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท' พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง ตอนกำเนิด 'จุนโทภิกขุ' แปลว่า "ผู้หมดกิเลสเครื่องร้อยรัด"... คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง
*กำเนิด “จุนฺโทภิกขุ”
หลวงปู่เจี๊ยะ บวชเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๖.๑๙ น. ณ พัทธสีมาวัดจันทนาราม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมีพระครูครุนารถสมาจาร (เศียร) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์พิหารการ (เชย) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่าน พ่อลี ธัมมธโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “จุนฺโท” แปลว่า "ผู้หมดกิเลสเครื่องร้อยรัด" หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นเรามีอายุได้ ๒๑ ปี 9 เดือน กับ ๕ วัน จึงเป็นพระรูปแรกที่ ท่านพ่อลี เป็นคู่สวดบวชให้
เมื่อบวชที่วัดจันทนารามเสร็จแล้ว ก็กลับมาจำพรรษาที่ ทรายงามเป็นเวลา ๓ พรรษา ท่านพ่อลี กับ พระอาจารย์กงมา เป็นอาจารย์องค์แรกของเรา
ขณะเริ่มพักจำพรรษาอยู่ที่วัดทรายงาม บ้านหนอง ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ในพรรษาแรกมีพระร่วมจำพรรษา ๕ รูป สามเณร 9 รูป ๑. พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านเป็นชาวจังหวัดสกลนคร ๒พระสังข์ เตมิโย ท่านเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ๓. พระทองปาน มหาอุตสาโร ท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี ๔. พระเจี๊ยะ จุนโท (องค์หลวงปู่เอง) เป็นชาวจังหวัดจันทบุรี ๕. พระอ๊อด โอภาโส เป็น ค ชาวจังหวัดจันทบุรี 5. สามเณรวิริยังค์ บุญทรีย์กุล เป็นชาวจังหวัด นครราชสีมา
อย่างที่ว่าพรรษาแรกๆ ก็ขี้เกียจ เอะอะก็จะหลบไปหลับนอน พอมาถึงกลางๆ พรรษา ก็มานึกตำหนิตนเอง เมื่อตำหนิกาย วาจา ใจ ของคนที่ไม่เอาไหนได้อย่างนั้น แล้วเกิดความอึดฮัดที่จะต่อสู้ นั่งภาวนาพุทโธ อย่างเอาจริงเอาจัง
ให้รู้เช่นเห็นชาติตนว่า ก่อนบวชที่ว่าตัวเองแน่ๆ ไม่ยอมถอย ให้ใครๆ มาบัดนี้จะมาถอยให้กับกิเลสแบบง่ายๆ หมดทางต่อสู้ แบบ นี้ถ้าเรียกนักเลง ก็เรียกได้ว่านักเลงกระจอกงอกง่อย เหยียบขี้ไก่ ไม่ฝ่อ
หลวงปู่เจี๊ยะ กล่าวว่า เมื่อเราเข้ามาบวชแล้ว ก็เราเป็นคน หนุ่มนะ อย่างที่ว่าพรรษาแรกๆ ก็ขี้เกียจ เอะอะก็จะหลบไปหลับนอน พอมาถึงกลางๆ พรรษาหรือยังไงก็ไม่ค่อยได้ ก็มานึกตำหนิตนเอง
เอ๊ะ!....เรากินข้าวชาวบ้านแล้ว ทำไมเราถึงมาขี้เกียจ อย่างนี้นะ มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับเพศนักบวชที่เสียสละ บ้านเรือนออกมาบวช แต่ก่อนเราเคยทำงานหนักๆ ทำการแจวเรือ ทั้งวันทั้งคืน เราแจวได้ ทำได้ แล้วเวลานี้ล่ะ เรามาเป็นพระเป็น นักบวช แล้วทำไม ทำไมมาขี้เกียจอย่างนี้ สิ้นท่าอย่างนี้
พระแบบเรานี้จะต่างอะไรกับฆราวาสหัวดำๆ ที่ขี้เกียจ คร้านทำมาหาเลี้ยงชีพ เราทำแบบนี้มันสมควรแล้วหรือที่ ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ว่าเป็นพระผู้ทรงเพศอันประเสริฐ ใครๆ เห็น เขาก็หลีกทางให้ มีอะไรเขาก็หามาให้กิน ในที่สุดมันก็ด่าตัวเอง ในใจ คือด่าตัวเองในใจดังๆ
*ตามรอยบาทพระศาสดา
“ไอ้ห่า!...มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่ง ญาติโยมแก่ๆไม่ได้ แล้วมึงจะมาบวชทำไม สมควรแล้วละหรือที่เราจะมาภูมิใจกับการเป็นคนจริงแบบปลอมๆ ที่แท้ก็เก่งแต่การโอ้อวดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย
เมื่อคิดขึ้นมาภายใน “เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย อยู่เป็นอยู่ พุทธเจ้าทำอย่างไร เราจะทำอย่างนั้น พระสาวกท่านปฏิบัติ เคร่งครัดอย่างไร เราจะเคร่งครัดอย่างนั้น” ใจมันเริ่มสอนใจตนเองขึ้นมา
นอกจากจะนั่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ลดละความพากเพียรพยายามแล้วยังมีเดินจงกรม พยายามเดินจงกรมอย่างที่ท่านอาจารย์กงมา ท่านสอน เดินเข้า เดินเข้า ทุกๆ วัน ทุกๆ คืน ใจมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ใจมันก็สงบลง บางทีเดิน ๓-๔ ชั่วโมง ทางจงกรมแหลก แดดเปรี้ยงๆ ไม่มีถอย ไม่เลือกกาลเวลา ทางจงกรมที่หลวงปู่ เดินยาวเส้นหนึ่ง (๒๐ วา) นี่คือพรรษาที่หนึ่งทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอด
ฉะนั้น การสร้างความดี ใครว่าไม่ต้องลงทุนลงแรง คนนั้นแหละพูดแบบโง่ๆ เพราะมันไม่เคยสร้างคุณงามความดี การสละชีวิตเพื่อความดี อันเป็นเลิศอย่างนี้ เรียกว่าไม่ลงทุนลงแรงหรือ อย่างนี้ต่างหาก เรียกว่าลงทั้งทุนลงทั้งแรงแบบไม่ออมมือ แบบทุ่มไม่ให้กำลังเหลือ
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็พยายามสอนตัวเองด้วยอุบายต่างๆ นานาว่า “สมบัติพัสถานข้าวของเงินทองเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาตายได้อะไรไปบ้าง” เพราะฉะนั้น พระที่ไปซักผ้าบังสุกุล ไม่ใช่ไปซักเอาสตางค์ อนิจฺจา วตสงฺขารา สังขารเป็นอย่างนี้ไม่เที่ยง ตายเหมือนกัน.. จงพิจารณา เพราะเป็นอย่างนั้น
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า “แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น มันเพลินอย่างอื่นนะ มันไม่คิดย้อนกลับมา มันก็ไม่เป็น อนิจฺจา วตสงฺขารา เพราะฉะนั้น จึงว่าถ้าเราทำจิตใจให้อยู่กับพุทโธ นานๆ เข้า หลายๆ วัน หลายเดือน เป็นปีขึ้นไป ทีหลังก็จะติด ไปไหนใจก็พุทโธๆ อยู่เรื่อย ใจ ก็ติด แน่ะ...เราก็ลุยใหญ่”
"ว่าพุทโธแล้ว ถ้าใจยังไม่สงบ ก็เดินว่ามันอย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ จนมันสงบ บางคราวมันจะลอย เคยอยู่ครั้งมันจะลอยให้ได้ ลอย... ลอย...ลอย ลอย ลอย เอาลอยสิ... ก็ขย่มขึ้นไปอีก มันไม่ลอยขึ้นซักที มันเพลินเดินสนุก เดินกันเป็นชั่วโมงๆ เหงื่อแตกซิกไปหมด เป็นหลายชั่วโมง แน่ะ...
เดินจงกรมสงบ โอ๊ย...มันดีจัง... เพราะฉะนั้น พอมันเป็นอย่างนี้ พอใจได้รับความสุข มันก็ติดใจๆ มาเรื่อยๆ”
*ถือเนสัชชิคือการไม่นอน
ในพรรษาที่ ๒ แห่งการบวช หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านถือธุดงค์ ปฏิบัติว่าด้วยการไม่นอนในกาลเข้าพรรษา คือไม่นอนตลอดพรรษาในเวลากลางคืน จะเดินจงกรมก่อน แล้วค่อยมานั่งสมาธิ วันละ ๓ เวลา เพื่อถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และเพื่อเป็นอุบายในการภาวนา หลวงปู่เจี๊ยะได้ตั้งสัจจะว่า ตนจะถือเนสัชชิตลอดทั้งพรรษา ในเวลาค่ำคืนไม่นอน ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ถ้าแม้นว่าตนไม่ทำตามสัจจะอันนั้น ก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย ขอให้แผ่นดินสูบตาย ขอให้ไฟไหม้ตาย และขอให้น้ำท่วมตาย
ตัวสัจจะนี้ถือเป็นตัวสำคัญ ผ่านก็ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็แสดงว่า วาสนาเรามีเพียงแค่นั้น ก็เป็นเครื่องแสดงเครื่องวัดจิตใจของคนนั้นๆ ได้เหมือนกันว่า แค่ไหนประมาณใด ถ้าตั้งสัจจะแล้วประพฤติได้ตามนั้นก็ถือว่าเยี่ยม เพราะสัจจะแบบนี้มิใช่ทำกันได้ง่ายๆ โดยส่วนมากแล้วจะล้มเหลวแบบไม่เป็นท่ากันทั้งนั้น เท่าที่สังเกตเวลาตั้งสัจจะก็สวยหรูอยู่หรอก แต่เวลาเอาเข้าจริงล้มแบบไม่เป็นท่า
7 วันแรกที่เริ่มปฏิบัติด้วยการไม่นอน หลวงปู่บอกว่ามันก็แย่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกิดมานอนตลอดจนเป็นนิสัย แต่อยู่มาหนึ่งมาหยุดนอนเอาดื้อๆ ร่างกายก็แย่ ทำท่าหงุดหงิด จนถึงอุทานในใจว่า “ว้า! ไม่ไหว...ไม่ไหว... ไม่ไหวแล้วโว๊ย” แต่ก็ยังดีที่ก่อนจะทำสมาธิก็ได้เข้าไปตั้งสัจจะบังคับเอาไว้ เพราะความเป็นผู้ที่รักษาสัจจะ สัจจะนั้นจึงเป็นเหมือนโซ่ตรวนคอยรึงรัดกายจิตของเราเอาไว้
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า “ตายเป็นตาย แต่จะให้สัจจะที่ตั้งไว้ขาดไม่ได้ ไม่ยอม ในร่างกายนี้อะไรจะเสียผุพังไปก็ตาม แต่จะให้สัจจะเสียไปไม่ได้ เพราะแม้สัจจะที่เราให้ไว้กับตัวเรา เรายังรักษามันไม่ได้ แล้วเราจะหวังพบธรรมะอันประเสริฐซึ่งอยู่เหนือสัจจะ แล้วเราจะพบพานธรรมนั้นได้อย่างไรกัน”
เมื่อคิดอย่างนี้ ใจมันก็ท้าทาย ทั้งกิเลสและธรรมที่มีอยู่ในกายและใจนั้น สัตยาธิษฐานนี้จึงเป็นทางเดินไปสู่มรรคผลแบบท้าทายได้อย่างดียิ่ง
“เราเป็นยังหนุ่ม... ซนที่สุดนะ ดื้อด้วย แล้วฐานะทางบ้านก็มีอันจะกินด้วย แก่นที่สุด ออกบวช ใครๆ เขาว่า แหกพรรษาแน่นอน แต่ว่าปฏิบัติแล้วมันเอาเต็มที่ ไม่ค่อยได้นอน ในพรรษา 3 เดือนไม่ได้นอนเลย กลางวันนิดหน่อย คือ หมายความว่า กลางคืนไม่นอน สู้เต็มที่เลย ๔-๕ วัน เวลารับบาตรง่วง วันไหนง่วงเต็มที่ก็ไปพิงเสานิดนึง พอรู้สึกตัว เอาแล้ว เพราะสัญญาอธิษฐานไว้ว่าไม่นอน สู้เต็มที่เลย ไม่งั้นไม่ได้หรอก ต้องออกมาเป็นขี้ข้าโลกเขาแล้ว”
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า บางทีถ้าเราตั้งสัจจะแล้ว มันก็ไม่ออกเหมือนกัน ยอมให้ยุงกัด บางทีขณะนั่งสมาธิ ถ้าเราเข้าถูกจังหวะ อากาศเหมือนไม่มี มีอยู่แต่ใจเพียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด ดับสนิทเต็มที่ กายนี้ไม่รู้เลย รู้แต่ใจตัวนั้นมันหมดความรู้สึก แต่รู้ในตัวมีอะไรบ้าง แต่ว่าถ้าถึงเต็มที่ก็ขนาดนั้นแล้วไม่รู้ ยุงไม่มี ไม่มีความรู้สึก หมดความรู้สึก
“...บางทีเราตอนเป็นหนุ่มๆ บวชใหม่ๆ ก็คิดอยากจะสึก พวกบวชเป็นชีสาวๆ ก็อยากจะสึก หรือพวกแก่ๆ ก็อยากจะสึก เพราะกิเลสมันเป็นอย่างนั้น
แต่ลึกไปก็เหมือนเท่ากับลงไปในน้ำทะเล อันมหาสมุทรกว้างขวางใหญ่นัก ชีวิตไม่มีความหมาย ตัวลงไปอยู่ในทะเล เป็นเหยื่อเต่า เหยื่อปลาเท่านั้นเอง ตายไปอย่างนั้น ไม่ได้อันใดเลย เหมือนเราตกลงไปในทะเล ถ้าไม่มีเรือมารับแล้วก็ต้องตาย
ชีวิตจมอยู่กับลูกกับเมีย กับข้าวของเงินทอง เพื่อหามาเลี้ยงกันทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างนั้น ไม่มีเวลาหยุดหย่อน ไม่มีเวลาได้พักผ่อน กำลังจิตใจของเราเลย นี่ .... แสนที่จะทุกข์ทน
*ปลดโซ่ตรวนทางโลก
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านกล่าวอีกว่า...พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้วถูกต้องหมดทุกอย่าง
พระองค์ตรัสว่า “โซ่ตรวนใดๆ ก็ไม่สามารถรึงรัดมัดผูกจิตใจ เราได้ยิ่งกว่า บ่วงคือ บุตร ภรรยาสามี ทรัพย์สมบัติ โซ่อันนี้แก้ได้ยาก ถอดถอนได้ยาก มันชักนำพาเราให้จมอยู่และกองอยู่ใต้ทะเล คือกิเลสและตัณหา จนหาทางออกไม่ได้ พระองค์จึงตรัสว่า เราเป็นเหยื่อของโลก ถูกกระแสโลกพัดผันไปต่างๆ นานา ในที่สุดก็ไม่ได้อะไรในทางที่ดี แต่มันกลับได้อะไรในทางที่ชั่วเสียหาย”
“นี่...พวกเราชำนาญแต่ตำราทางโลก แต่ตำราทางธรรมมันไม่ชำนาญ ใจมันไม่ยอมกระทำ ใจมันขี้เกียจ ใจมันดื้อด้าน ใจมันไม่อยากทํา อยากคุย อยากสนุก อยากร่าเริง เข้าวัดวายังเอาวิทยุมาเปิด สนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ให้ระวังกันหน่อย”
"เราเข้ามาเพื่อจะปลดเปลื้องสิ่งที่ร่าเริง สิ่งที่เพลิดเพลินใจของเรา ไม่ให้สิ่งใดเข้ามาเกาะมากวน ต้องขจัดไปทุกเวลา ว่าอย่างนั้นเถอะ นี่ความรู้เช่นนี้ต้องกำจัดให้หมด จนให้ใจนั้นไม่มีอันใด...นั่น... จึงเรียกว่า พระ... ก็เป็นพระแท้ โยม...ก็เป็นโยมแท้”
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า เพราะฉะนั้นการทำใจ เมื่อมีความจริงที่ใด จะโง่เซ่อขนาดไหน ขอให้ใจจริงๆ สู้จริงๆ แล้วนั่งให้จริง ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถทำได้อยู่ตลอดเวลา ต้องสำเร็จ บุคคลผู้นั้น ไม่พ้น แต่ใครจะไปรู้เรื่องของบุคคลนั้นๆ ว่าสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ อยู่ที่หัวใจของเขาเอง เมื่อเราพยายามมากเข้าๆ พระพุทธเจ้าทรง กล่าวว่า “พาวิโต พหุลีกโต” เพียรมากๆ ทำมากๆ ทำบ่อยๆทำอยู่อย่างนั้น ก็เป็นไปเพื่อความดับสนิท เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง นี่เป็นอย่างนั้น ไม่มีอย่างอื่นแล้ว ถ้าลงว่าทำอย่างนั้นจนสุดความสามารถ แล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าจะยังไง”
*สอนตัวเอง “บวชมาทำไม"
ด้วยอุปนิสัยของ หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเป็นคนห้าวหาญ เอา จริง ทำจริง เวลาท่านสอน คำสอนของท่านจึงดุเด็ด ท่านสอนให้ ผู้ที่มาบวชได้คอยตรวจตรองตัวเอง เราบวชมาเพื่ออะไร เพื่อหวัง ลาภหรือ เพื่อล่อลวงคนหรือ เมื่อรู้ว่าเรานั้นบวชเพื่อการขัดเกล จิตใจ ลดทิฏฐิมานะ เพื่อความสิ้นไปของกิเลส ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติ ซึ่งการปฏิบัตินั้น หัวใจก็ต้องมีความเข้มแข็ง ความอุตสาหะ ความพยายาม ความพากเพียรอย่างยิ่ง เหมือนไฟที่ไหม้ติดอยู่กับ ศีรษะของเรา แต่หัวใจไม่เห็นภัย ไม่เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์เดือดร้อน คนก็ทนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักวิธีแก้ไขดับไฟ ปล่อยให้มันไหม้อยู่บน ก็มีแต่วันที่จะตายจมลงไปตลอดเวลา
การบวช การปฏิบัติ เรามุ่งมาประพฤติปฏิบัติธรรมะ หรือมุ่ง ๆ มาเพื่อประโยชน์อันใด คิดอย่างนี้ ในชีวิตนักบวชทุกๆคน ไม่ว่าบวชชี แม่ขาว หรือบวชพราหมณ์ บวชพระก็ดี บวชมาเพื่ออะไร?
ที่ต้องถามตนเองอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราระลึกรู้สึกตัวเรา ต้องคิดอย่างนี้ว่า เราบวชมาเพื่ออะไร? “ชีวิตนี้บวชมาเพื่อกินข้าวชาวบ้านหรือ หรือบวชมาเพื่อขอเขากิน บวชมาเพื่อหวังร่ำรวยหรือ”
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนศีล สมาธิ ปัญญา สอนไว้เพื่ออะไร?เพื่อใคร?สอนไว้เพื่อเราผู้เป็นนักบวช ให้ได้นำมาประพฤติ เพื่อขัดเกลากิเลสตัวทิฏฐิมานะของหัวใจ ที่แสนจะหมกมุ่น เพื่อการชำระกิเลสเป็นต้นนี้ให้หมดสิ้นไป
เราต้องถามเราว่า เป็นพระ เป็นเณร เป็นซี เป็นแม่ขาว บวชมาเพื่ออะไร? เราต้องคิดฝึกดูตัวเรา ที่เรียกว่าฝึกตน เราต้องสำรวจตัวเราอยู่เสมอว่า เราบวชเข้ามาเพื่ออะไร? หรือจะบวชเข้ามาเพื่อสบาย เพราะอยู่ในโลกก็สบายเหมือนกัน มีลูกมีเมียมีผัวอยู่อย่างอิสระเสรี ไม่อยู่ในอำนาจผู้ใด แต่ถ้าเรามาเป็นนักบวชแล้ว เราต้องมีขอบเขตเหตุผล
เมื่อบวชเข้ามาแล้วไม่มีใครมาตามบังคับใคร พระพุทธองค์เองก็ไม่ทรงบังคับใคร เธอจะปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ อยู่อย่างสบายก็ได้ แต่เมื่อเราย้อนเอาธรรมอันลึกซึ้งมาขบคิด ทำให้เกิดสลดจิตว่า “ชีวิตเราไม่ตายหรือ?” สิ่งนี้เราก็ต้องค้นหาเหตุผล มรรคผลมันอยู่ที่ไหน ทำไมพระพุทธเจ้าถึงทรงแสดง อย่างในอนัตตลักขณสูตร แสดงถึงรูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ รูปในที่ใกล้ที่ไกล รูปในอดีต อนาคต ล้วนแต่แปรปรวนยักย้ายต่างๆ นานา ประการต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น ทรงแสดงเพื่อใคร?
อย่างพระสวดมนต์ทุกๆ วันนี้ สวดเพื่อศพหรือ? เพื่อหวังเงินหรือ? การแสดงธรรมก็เพื่อต้องการให้คนเป็นฟัง ต้องเข้าใจอย่างนั้น ขอ ต้องมีโอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ตัวเรา นี่ล่ะธรรมะ สำหรับผู้มีใจอันเป็นปกติแล้ว ได้ยินสิ่งใดมากระทบอย่างนี้ มันก็มีโอปนยิโก น้อมเข้ามาสอนตัวเรา ตำหนิตัวเรา
ใจเจ้าเอย เจ้าอย่าเพลิดเพลิน อย่าสนุกสนานร่าเริง เจ้าจงมาพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งอันที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้
*พบทางกำจัดภัยแก่จิต
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านกล่าวว่า นี่แหละเป็นทางจะกำจัดภัยของใจ ที่มันเดือดร้อนวุ่นวายเบาบางลงไป ยิ่งถ้ามองให้ลึกซึ้ง ลงไปในสิ่งที่ร่าเริงสนุกสนาน ที่โลกทั้งหลายเขากันเข้าใจว่าเป็นสุข เป็นสิ่งที่สนุกสนานร่าเริง ถ้าเรามาพูดถึงความลึกซึ้งแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงยกขึ้นมาเป็นหลักธรรม ยิ่งแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า สิ่งเหล่านั้นเต็มไปด้วยไฟ คือจิตอันประกอบด้วยความเพลิดเพลินอันเจือด้วยอำนาจราคะ นั่นแหละคือไฟกองใหญ่เผาใจเรา ให้เกิดความร้อนรุ่มกระวนกระวาย ทำให้ใจไม่เกิด ความสงบ
การฟังเทศน์ฟังธรรม สวดมนต์ทำวัตรนี้ เพื่อต้องการเอาธรรมะนั้น มาใคร่ครวญพินิจพิจารณาให้ใจที่มันดิ้นรนกระวนกระวายสร่างซาลงไป อย่างเราศึกษา นักธรรมตรี โท เอก ศึกษามหาเปรียญ ๙ประโยค ๑๐ ประโยค ตั้งร้อยแปดพันประการ ก็เพื่อต้องการที่จะรู้จุดที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่ทรงแสดงว่าชำระใจของตนให้บริสุทธิ์หมดจด นั่นเป็นยอดศาสนา เป็นยอดคำสอนของพระพุทธเจ้า
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า แต่วิธีที่จะชำระใจให้บริสุทธิ์ เมื่อไม่บริสุทธิ์เราก็ต้องคิดหาวิธี ที่พูดอย่างนี้อย่าหาว่าขู่เข็ญ ฟังไม่ได้ออกไปเลย หลวงตาเจี๊ยะอยากเอาอย่างนี้หน่อย
การเทศน์ต้องการให้เป็นคติ บุคคลผู้ฟังนั้นจะได้นำไปพินิจพิจารณา เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับตน ก็จะได้เอาไปปฏิบัติ จะให้เทศน์เพื่อโก้ๆ เพื่อหวังลาภ เพื่อหวังสรรเสริญอย่างนั้น จะเทศน์กันไปทำไม? เพราะฉะนั้นเวลาเทศน์ใจมันจึงไม่ดึงดูดให้อยากเทศน์ เพราะใจคนฟังมันไม่ใส่ใจในธรรมะ
ถ้าเราเห็นว่าการใส่ใจในการปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่หักไม่ฟาดมันลงไปแล้ว มีแต่มันจะหมักหมม เผาหัวตัวเองอยู่ตลอดกาล จนกระทั่งตายเปล่า แบบนี้ใครทนได้ก็ทนไป เราไม่ทน เราจะเผากิเลส ไม่ให้กิเลสมันมาเผาเรา เปรียบเหมือนขวากหนามที่ตั้งอยู่ตีนเรา เข็มมีเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จักหยิบเอาเข็มนั้นมาใช้ เข็มนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ตีนนั้นก็ไม่สามารถจะเอาหนามนั้นออกได้
หลวงปู่เจี๊ยะสอนไว้ว่า ธรรมะมีอยู่ทั่วไป แต่เมื่อบุคคลใด มีปัญญา มีสติมาระลึกบทใดบทหนึ่ง มากำกับอยู่ในหัวใจเราแล้ว ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งใจนั้นเกิดความสงบแล้ว
ก็เหมือนหนามที่ทิ่มแทงออกไปจากตีน รู้จักหยิบเข็ม จะตื้นลึกขนาดไหนก็เอาเข็มมาบ่งเข้า ไอ้หนามนั้นมันก็ออกไปจากเท้าของเรา เราก็ได้รับความสบาย ไม่เสียว ไม่เจ็บ ไม่ปวดอีกเหมือนเดิม ใจที่ถูกธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปข่ม ใจนั้นก็จะสงบเยือกเย็นลง
*อุบายบริกรรม
เพราะฉะนั้นต้องอุตส่าห์ อันธรรมของพระพุทธเจ้า ยกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง บำเพ็ญจนได้เป็นสัพพัญญู ก็ต้องเอาอยู่ 6 ปีอย่างนี้เป็นต้น ต้องใช้ความพยายาม อดข้าวอดปลา ทำสารพัดสาระเพทุกอย่าง ทำจนเกือบล้มเกือบตายก็ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ
เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งมาได้ปีที่ 6 ก็มาเห็นปฏิปทาทางเดินถึงอานาปานสติ เมื่อใช้ปัญญาพินิจพิจารณา จึงได้รู้ความจริงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น
ในการปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน อันใดที่จะแก้ใจให้มันขาดจากนิวรณ์แล้ว ใจนั้นจะได้เป็นสมาธิ นั่นแหละเป็นอุบายสำคัญที่มันจะแก้ใจเราได้ ใจอย่างนั้นจึงเรียกว่าใจอาตาปี คือใจที่สามารถแผดเผากิเลสลงได้
หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านยังกล่าวอีกว่า ใจคนเรานั้นมันเร็วมาก ต้องอาศัยการใคร่ครวญ การพินิจพิจารณา การบริกรรม จะหลับหู หลับตาทําไปโดยขาดการใคร่ครวญนั้นไม่ได้ เมื่อตั้งจิตต้องการความสงบก็ใช้การบริกรรมมากำกับหัวใจ ไม่ให้ใจของเราส่ายไปหาอารมณ์ ให้อยู่กับพุทโธ มีสติกำกับ แต่ใจก็ยังแส่ออกไปข้างนอกตลอดเวลา เหมือนวัวควายที่ดื้อดึง เมื่อเป็นอย่างนั้นต้องเน้นการบริกรรมให้เร็วขึ้น ต้องคิดถึง อุบายเพื่อไม่ให้ใจส่ายไปหาอดีต อนาคต
ฉะนั้น พวกเราอย่าไปเสียดายบริกรรม ว่าจนให้มันเหนื่อยที่สุด ให้มันนานเท่าไรได้ยิ่งดี สักประเดี๋ยวจิตมันก็สงบ มันหายจากการไม่นึกคิดแล้ว ถ้าเราไม่บริกรรมมันกำลังแข็งตัว มันก็ต้องออกไป สู้กับเราอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องบริกรรม พุทโธๆ โธๆ ๆ ๆ ว่าให้เร็ว พอมันหมดลมก็เอาอีก โธๆ ๆ ๆ ๆ แต่อย่าให้ดัง เดี๋ยวเขาว่าบ้า ให้เบาๆในใจ ว่าอยู่อย่างนั้นให้เร็วๆๆ โธๆ ๆ หยุด โธๆ หยุด"
*ค่ำคืนบรรลุธรรม
วันหนึ่งในพรรษาที่ ๓ ขณะหลวงปู่เจี๊ยะนั่งภาวนาอยู่ที่ใต้ต้นกระบกที่วัดทรายงาม หลวงปู่ท่านกล่าวว่า ด้วยการพิจารณากายอย่างละเอียดถึงที่สุด ปรากฏประหนึ่งว่า แผ่นดิน แผ่นฟ้า ละลายหมด กายกับใจนี้มันขาดออกจากกัน เหมือนว่าโลกนี้ขาดพรึบลงไป ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่ร่างกายก็สูญหายไปหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ของใจอันเที่ยงแท้ทีเดียว
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว จิตนั้นแปลกประหลาด อัศจรรย์และพิสดารอย่างลึกล้ำ ถึงกับได้อุทานภายในใจว่า “นี่แหละชีวิตอันประเสริฐ เราได้พานพบแล้ว” คืนนั้นจึงเป็นคืนที่น่าจดจำ อย่างไม่มีวันลืม ธรรมชาติของจิตนั้นมันแปลกกว่าที่คาดมาก มาก ขนาดว่าก่อนจิตรวมกับหลังจิตรวมนั้นมันเหมือนคนละคน ทั้งๆที่เป็นคนเดียวกัน
“พอจิตรวมถึงที่สุดแล้ว ถอนจิตออกจากสมาธิแล้ว จิตนี้มันอาจหาญ ไม่กลัวใคร คำไม่กลัว ไม่ได้หมายว่าเราเป็นนักเลง คือไม่กลัวต่อความจริง อันไหนเป็นความจริงเราอาจหาญที่จะต่อสู้และพิจารณา เรียกว่า ธรรมทำให้กล้าหาญ”
หลวงปู่ท่านกล่าวว่า เมื่อภาวนาจิตลงได้อย่างนั้นแล้ว สมบัติใดๆ ในโลกที่เขานิยมว่ามีค่ามาก จะเอามากองให้เท่าภูเขาเลากา ไม่ได้มีความหมายเลย ธรรมสมบัติที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ เป็นธรรมสมบัติเหนือรัตนะเงินทองโดยประการทั้งปวง อัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่ง
จิตไม่เกี่ยวเกาะด้วยกามคุณเลย ทั้งๆที่เคยสัญญากับคนรักไว้ก่อนบวชว่า “บวชเพียงหนึ่งพรรษา ก็จะสึกออกมาแต่งงานกัน” เมื่อจิตมิได้เยื่อใยในโลกเช่นนั้นอยู่มาวันหนึ่งเดินออกบิณฑบาต เจอคนที่เราเคยรักมาใส่บาตร เราจึงบอกสาวคนที่เรารักนั้นไปว่า “ เอ๊ย...ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่สึกแล้วนะ”
เมื่อเป็นสันทิฏฐิกธรรม คือรู้เองเห็นเองเฉพาะตนแล้วจึงไม่นำไปพูดกับใครและปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ จึงนึกถึงแต่กิตติศัพท์และกิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตอยู่แค่นั้น
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี