(ต่อจากตอนที่แล้ว) หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ท่านมีความรักเคารพต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้เป็นอาจารย์ของท่านอย่างมาก สมัยที่อยู่เชียงใหม่กับหลวงปู่มั่น ขณะที่หลวงปู่มั่น กำลังล้างหน้าแล้วฟันท่านหลุดออกมา ท่านได้มอบฟันนั้นให้กับหลวงปู่เจี๊ยะ
*ทันตธาตุพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่เจี๊ยะได้เก็บฟันนั้นไว้ และต่อมาฟันของหลวงปู่มั่นก็ได้แปรสภาพกลายเป็นพระธาตุ หลวงปู่เจี๊ยะจึงได้สร้างเจดีย์เพื่อบรรจุทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่นขึ้น ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ได้นิมนต์ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
มีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มาเป็นประธาน ลักษณะขององค์พระเจดีย์นั้นสร้างเป็นรูปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สมัยสุโขทัยตามที่หลวงปู่นิมิตเห็น องค์พระเจดีย์สร้างด้วยหินอ่อน ความสูง 37 เมตร สิ้นงบประมาณการสร้าง 50 ล้านบาท
หนังสือประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ตอนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อหลวงปู่เจี๊ยะ เข้ามาอยู่ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ก็เริ่มมีลูกศิษย์มากขึ้นเรื่อยๆ จะทำอะไรท่านสะดวกมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านยังเก็บหอมรอมริบมัธยัสถ์ เสมอมา ตั้งแต่เริ่มแรกที่คนเข้ามาทำบุญทีละเล็กละน้อย ถวายส่วนตัวท่านบ้าง ถวายเนื่องในงานผ้าป่า กฐินบ้าง ท่านจะเก็บเข้าบัญชีธนาคารมาตลอด
เรื่องพระคุณของท่านพระอาจารย์มั่น ปรากฎเป็นปัจจุบันธรรมภายในใจของท่านโดยตลอด ท่านทำไว้ในใจเสมอว่า ถ้ามีโอกาสมีบุญจะสร้างเจดีย์ใหญ่ถวายให้ท่านพระอาจารย์ผู้ส่องประทีปธรรม ตามโอกาสและวาสนาอำนวย ไม่รีบเร่ง ท่านปรารภว่า "ถ้าเรายังไม่พร้อมเราจะยังไม่สร้าง"
เมื่อได้โอกาสอันสมควร วันหนึ่งท่านจึงถามพระเขียว ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากและดูแลการเงินให้ท่านว่า "เขียว...เงินในธนาคารทั้งหมดมีเท่าไหร่ ไปเอามานับรวมกันดูชิ"
เมื่อพระอุปัฏฐากนำเงินทั้งหมดที่ท่านเก็บไว้มานับรวมกันทั้งหมดได้ 50 ล้านบาท ท่านจึงปรารภที่จะสร้างเจดีย์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา ตอนแรกท่านริเริ่มจะสร้างบริเวณหลังวัด แต่พิจารณาเห็นว่าการสัญจรไปมาคงไม่สะดวก เสียงรถเข้าออกจะเป็นการรบกวนพระเณรภาวนา ท่านจึงชี้ให้สร้างด้านหน้าศาลาเป็นที่ตั้ง "ภูริทัตตเจดีย์"
*ธรรมปริศนาของเจดีย์ฯ
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2539 หลวงปู่เจี๊ยะได้วางศิลาฤกษ์ สร้างภูริทัตตเจดีย์ สำหรับบรรจุพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ลักษณะรูปร่างทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ของเจดีย์สมัยสุโขทัย แปดเหลี่ยม ความหมายคืออริยมรรคมีองค์แปด มีความกว้าง 22 เมตร หมายถึง ปัจจยาการ โดยอนุโลมและปฏิโลม รวมเป็น 22 ประการ
ความสูง 37 เมตร หมายถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตกแต่งด้วยหินอ่อน หินแกรนิต ไม้สักทอง ยอดทำด้วยทองคำแท้ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานมา
ภูวิทัตตเจดีย์ เจดีย์แปดเหลี่ยม บรรจุพระธาตุ อัฏฐิธาตุของบุคคลที่ควรสร้างพระเจดีย์ไว้ให้ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายได้สักการการบูชา ดังพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ พระอานนท์ไว้ว่า "อานนท์! เจดีย์บรรจุพระธาตุ อัฏฐิธาตุของถูปาหรบุคคล เพียงชนเป็นอันมากยังจิตให้เลื่อมใสว่า เจดีย์นี้เป็นเจดีย์บรจุพระธาตุ อัฏฐิธาตุของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก พระราชาผู้ทรงธรรม เมื่อชนมีจิตเลื่อมใสในพระเจดีย์นั้นแล้ว วันข้างหน้าถ้าเมื่อเขาตายกายแตกดับไป เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์ เป็นแน่แท้"
นอกจากจะเป็นเจดีย์ที่ควรไปสักการะอย่างยิ่งแล้ว ยังเป็นเครื่องบ่งชี้จารึกถึงความรัก ความเคารพ ความกตัญญูที่หลวงปู่เจี๊ยะ มีต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด
หลวงตามหาบัวกล่าวถึงภูริทัตตเจดีย์ที่หลวงปู่เจี๊ยะสร้างว่า "เราบอกให้คนไปดูเจดีย์บรรจุทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ที่อาจารย์เจี๊ยะสร้าง ท่านกิริยาภายนอก นี่โกโรโกโสนะ บ๊งเบ๊งๆนะ แล้วให้ไปดูพยานโน้นกำลังสร้างเจดีย์ ให้ไปดูพยาน วัตถุเครื่องก่อสร้างต่างๆให้ดูให้ดีนะ”
"นี่แหละฝีมือนิสัยอาจารย์เจี๊ยะ อันเครื่องบ่งถึงธรรมะ ภายในแหละเราเข้าไปดู โอ๊ย? ไม่มีอะไรละเอียดยิ่งกว่าภูวิทัตตเจดีย์นี้ เนี่ยะ!ดูให้ดี ความละเอียดนี้เก่งมาก โอ้ย! มีแต่ของดิบๆดีๆทั้งนั้นเลย เรายอมรับท่านถึงเรื่องความละเอียดในการกระทำ
"โอ้โฮ! ใครจะไปหาไหนมาได้ แต่อาจารย์เจี๊ยะหามาจนได้ สิ่งเหล่านี้ใครจะหาได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ อาจารย์เจี๊ยะหามาจนได้ๆหมดเลยนะ
*ธรรมรสของศิษย์วัดป่าฯ
ดังที่กล่าวมา ที่อยู่ที่พักของหลวงปู่เจี๊ยะที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามนั้น แรกเริ่มทีเดียวมีกระต๊อบหลังเล็กๆ มุงด้วยหญ้าคา มีจีวรผืนเก่ากั้นเป็นห้อง เป็นที่หลบแดด หลบฝน เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน มีเตียงทำด้วยไม้ไผ่ทำเป็นที่ฉันและที่นอนใต้ร่มไม้สน ด้านหลังมีคลองน้ำเป็นเขตแดน ท่านอยู่แต่เพียงเดียวดายไม่ค่อยมีลูกศิษย์ แม้แต่คนถิ่นแถวนั้นก็ไม่ค่อยรู้จักท่าน
การก่อสร้างวัดของท่าน เมื่อเห็นสิ่งของเช่นเศษไม้เศษ สังกะสีเก่าๆ เป็นต้นที่คนเขาทิ้ง ท่านก็จะขอบิณฑบาตมาสร้างกุฏิที่พัก ท่านมัธยัสถ์มากเห็นคุณค่าแห่งของทุกสิ่ง เก็บหอมรอมริบสม่ำเสมอ ทำงานทั้งวันตีเหล็กตีขวาน ทุบหินจนบางครั้งพระลูกศิษย์บางรูปไม่เข้าใจต้องเข้ามากราบเรียนถามท่านว่า
"หลวงปู่ ผมไม่เข้าใจหลวงปู่เลย ทำไมหลวงปู่ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำขนาดนี้ ต้องเป็นอย่างนี้" หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวตอบแบบห้วนๆตามภาษาของท่านว่า เฮ้ย!..มันเข้าใจง่ายๆ ซะที่ไหน ผมอยู่กับปู่มั่น บางทีผมก็ยังไม่เข้าใจเลย ต้องพยายามเข้าใจ เดี๋ยวจะเข้าใจเอง" แล้วจึงตีขวานต่อเสียงดังเพ้ง!เพ้ง!เพ้ง!...
และสอนลูกศิษย์ต่อว่า "ในสมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่มั่น ผมต้องอดทนมาก ผมเป็นคนกินยาก แสลงเรื่องอาหาร ผมอยู่กับท่านสามปี สี่แล้ง กินแต่ข้าวเหนียวกับกล้วย อาหารอย่างอื่นมี แต่ผมกินไม่ได้ ถ้าไม่มีกล้วยผมต้องกินแต่ข้าวเปล่าๆ ทำให้ท้องอืด ไม่ถ่าย อากาศก็หนาวเหน็บถึงกระดูก ตามแขนตามขาผิวแห้งไปหมด ไปขอยากับหลวงปู่มั่นก็ไม่มี เมื่อไม่มียาท้องอึดจะตาย ผมใช้นิ้วล้วงลงไปลำคอลึกๆ เพื่อให้อาเจียนออกมา จะได้สบายท้อง นิ้วมือนี้แหละยา ผมยังไม่เคยบ่น เรื่องนี้มีแต่ท่านอาจารย์มหาบัวรู้ คนอื่นไม่รู้ผมยังไม่เห็นตายเลย"
พระลูกศิษย์ที่ติดตามท่านมานานๆ บางองค์ก็น้อยใจในวาสนาอาจารย์ของตน ถึงกับกล่าวว่า "อาจารย์ของเรานี่ เป็นถึงลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น แต่เวลาเดินทางไปไหนก็ไปสิบล้อ โบกสิบล้อไป หลวงปู่สิม หลวงปู่ หลวงปู่สาม หรือพระกรรมฐานรุ่นหลังๆ ไปไหนมีรถเก๋งมารับ อาจารย์ของเราช่างด้อยวาสนาเสียจริงๆ โบกขึ้นแต่รถสิบล้อ อาจารย์องค์อื่นถูกนิมนต์ไปฉันบ้านนายพล บ้านคุณนาย อาจารย์ของเราพาฉันแต่น้ำพริกกุ้งแท้ง แถมยังยกเว้นกะปิอีก น้ำพริกปลาทูก็ไม่ให้ใส่กะปิ บางทีเพื่อนพระที่เป็นลูกศิษย์อาจารย์อื่นๆ เขาก็ล้อว่า "พวกท่านมีอาจารย์กับเขาทั้งที มักไม่เหมือนคนอื่นเขาน้อ!
ก็ได้แต่ทำไว้ในใจว่า "เอาละวะ ถึงท่านจะเป็นอย่างไรก็ตามเราก็มั่นใจในคุณธรรมของท่าน แม้หลวงตาบัวยังชมท่านไม่ขาดปากว่า เป็นผ้าขี้ริ้วท่อทอง' คิดเพียงเท่านี้ก็เป็นที่ปลงใจสำหรับลูกศิษย์พระกรรมฐาน
หลวงปู่เจี๊ยะเมื่อเห็นศิษย์คิดอย่างนั้น ท่านก็สอนเป็นธรรมะไพเราะเคาะสนิมใจให้ศิษย์รื่นเริงในธรรมบ้างว่า "ท่าน... ธรรมดาว่าชาวนาไม่มีข้าวกิน ย่อมไม่มี...คนดีย่อมไม่มีสิ่งชั่ว...คนใบ้ ย่อมไมไปทะเลาะกับคนอื่น...คนตื่น ย่อมไม่มีภัย...คนที่ใจฝึกมาดีย่อมไม่มีไหวหวั่น อยู่ได้ทุกที่ ขี้ได้ทุกทาง"
เมื่อท่านพูดเสร็จมีพระเดินคู่กันมาสองรูป ท่านจึงตะโกนด่าเสียงดัง "เฮ้ย!.. ไอ้ฉิบ... ใครสอนให้ท่านทำอย่างนี้ การเดินเคียงคู่กันแบบนี้ เดินแบบหนุ่มสาวชาวโลก กิริยาแสวงหากิเลสไม่ใช่กิริยาแสวงหาธรรม หลวงปู่มั่นท่านตำหนิอย่างหนัก อย่าทำเด็ดขาด"
*สงฆ์ยอดกตัญญู
หลวงปู่เจี๊ยะท่านมีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ตามฐานะ ดังเช่นที่ท่านแสดงความอ่อนน้อมต่อหลวงตามหาบัว หรือครูบาอาจารย์อื่นที่มีพรรษามากกว่า ท่านทำตัวเป็นเหมือนสามเณรตัวน้อยๆ ยามนั่งสนทนาจะพนมมือตลอด ท่านเคยสอนไว้ว่า
“คนที่มีความอ่อนน้อมย่อมส่อถึงความเป็นคนดีภายใน ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคนแข็งกระด้างไม่อ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ย่อมประสบความหายนะ
“ท่านสอนให้เราไปดูตัวอย่างรวงข้าวในนา ตามธรรมดารวงข้าวมีเมล็ดเต็มอ้วนภายใน มักอ่อนรวงลงเสมอ ส่วนรวงใดลีบไม่มีเนื้อภายใน มักชูรวงแข็งกระด้างไม่อ่อน เปรียบเหมือนคนอ่อนน้อม แสดงว่ามีความดีภายใน ส่วนคนแข็งกระด้างแสดงว่าภายในลีบ ไม่มีน้ำหนักแห่งความดีเลย มนุษย์จึงควรสำนึกในข้อนี้ และประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ จะถึงความเจริญไม่หยุดยั้ง"
หลวงปู่เจี๊ยะนั้นนับว่าเป็นสุดยอดพระกตัญญู ด้วยความรักและเคารพที่หลวงปู่เจี๊ยะมีต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ยิ่งกว่าชีวิต การจะพูด จะทำ จะคิดอะไร ถ้าเกี่ยวข้องกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจะคิดนิ่งและนาน ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองเป็นอย่างดี
ถึงแม้กาลเวลาผ่านมานานแล้ว ความรักเคารพที่มีต่อท่านพระอาจารย์มั่นยิ่งเด่นดวงขึ้นเสมอ ไม่มีวันเสื่อมถอย ถ้าเป็นภาษาที่โลกนิยมก็คือ "สุดยอดพระกตัญญู" การอันใดก็ตามที่เป็นไปเพีอสนองคุณและตอบแทนคุณ ท่านจะทำอยู่สม่ำเสมอ
ในเรื่องเกี่ยวกับผู้คนสภาพแวดล้อม มุมมองทุกด้านล้วนเพื่อท่านพระอาจารย์มั่นทั้งนั้น ดังคำที่หลวงตามหาบัวกล่าวถึงความผูกพันว่า "หลวงปู่มั่นกับอาจารย์เจี้ยะ ท่านเป็นเหมือนพ่อลูกกัน หรือคำที่ท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม กล่าวกับสานุศิษย์ว่า"หลวงปู่เจี้ยะกับหลวงปูมั่น ท่านเป็นพ่อลูกกันมานานหลายชาติ
หลวงปู่เจี๊ยะท่านรักเคารพครูบาอาจารย์ของท่านแบบละเอียดลออ คิดลึกซึ้งถึงก้นบึ้งแห่งเหตุ อย่างเช่น ท่านไปทำคุณประโยชน์ในด้านต่างๆ ทางจังหวัดตากหรือที่อื่นใดก็ตาม ก็ล้วนแต่เพื่อสนองคุณ ท่านพระอาจารย์มั่น และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
............................
ตามรอยพระอริยะเจ้า! "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง
(ติดตามตอนต่อไป) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี