ท่านทั้งหลายได้ปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมน์แล้ว และได้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ก็เป็นการชำระกายวาจาของตนเองให้บริสุทธิ์เป็นการปรับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ตรงที่มีศีล ๕ ข้อ เมื่อทุกท่านได้สมาทานศีล ๕ ข้อแล้ว และไม่ได้ละเมิดล่วงเกินข้อใดข้อหนึ่ง ท่านก็เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์และเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ จึงขอให้เตรียมตัวให้พร้อมที่จะนั่งสมาธิภาวนา ท่านจะนั่งท่าไหน อย่างไร ก็สุดแต่ที่ท่านถนัดที่สุด นั่งในท่าที่สบาย อย่าเกร็งร่างกายหรือกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่งให้สบาย หายใจให้สบาย
บัดนี้ท่านทั้งหลายได้เตรียมพร้อมแล้ว ขอได้โปรดประนมมือขึ้นน้อมนึกในใจว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิเพื่อปฏิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ให้จิตของข้าพเจ้าแน่วแน่เป็นสมาธิ มีสติปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมตามความเป็นจริง นึกในใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตน้อมใจเชื่อมั่นลงไปว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจอาการที่พระพุทธเจ้ามีอยู่ที่ใจ คือ ใจรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดีอาการที่มีธรรมอยู่ในใจ คือ การทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้นตลอดเวลาอาการที่พระสงฆ์อยู่ในใจ คือความมีสติกำหนดจิตนึกบริกรรมภาวนาพุทโธไว้ตลอดเวลาไม่ให้พรากจากกัน
แล้วเอามือวางลงบนตัก กำหนดรู้ลงที่จิต นึก พุท พร้อมลมเข้า โธ พร้อมลมออกก็ได้ถ้านึกพุทโธพร้อมลมเข้าลมออก ช่วงหายใจยังห่าง จิตสามารถส่งกระแสออกไปทางอื่นได้ให้ปล่อยความรู้ลมหายใจเสีย นึกพุทโธเร็วๆ เข้า โดยนึกพุทโธด้วยความเบาใจ
อย่าไปข่มความรู้สึก อย่าไปบังคับจิตให้สงบ นึกพุทโธๆๆ เอาไว้อย่าไปนึกว่าเมื่อใดจิตจะสงบ เมื่อใดจิตจะรู้เมื่อใดจิตจะสว่าง ให้กำหนดรู้ลงที่จิตอย่างเดียว
นึกพุทโธๆๆ พุทโธก็อยู่กับจิต จิตก็อยู่กับพุทโธ เมื่อมีการตั้งใจนึกพุทโธ สติสัมปชัญญะจะมาเองหน้าที่เพียงนึกพุทโธๆๆ ไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรจิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ ให้เรานึกพุทโธไว้โดยไม่ขาดระยะเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งจิตมันคล่องตัวต่อการนึกพุทโธ ในที่สุดจิตจะนึกพุทโธๆๆ เองโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อจิตนึกพุทโธเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แสดงว่าการภาวนาของเรากำลังจะได้ผลแล้ว
ในเมื่อจิตนึกอยู่ที่พุทโธๆๆพุทโธก็เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติมีเครื่องระลึก ผู้ปฏิบัติตั้งใจปฏิบัติให้มากๆ กระทำให้มากๆในที่สุดจิตจะเกิดความสงบ มีอาการหลายๆอย่างที่จะพึงเกิดขึ้น
ในบางครั้งจะรู้สึกว่าง่วงนอน มีอาการเคลิ้มๆเหมือนจะหลับในตอนนี้ผู้ภาวนาเกิดกลัวว่าจะนอนหลับ จึงไปฝืนความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อฝืนแล้วความรู้สึกก็คืนมาสู่สภาวะธรรมดา แล้วเราก็บริกรรมภาวนากันใหม่
ถ้าหากผู้ใดภาวนาแล้วมีอาการเคลิ้มๆ ลงไปเหมือนกับจะง่วงนอนขอให้ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น อย่าไปฝืน
ถ้าจะเกิดความหลับขึ้นมา ก็ปล่อยให้หลับอยู่ในขณะที่นั่งอยู่นั่นแหละเพราะจิตที่จะก้าวลงสู่สมาธิในเบื้องต้นมีอาการคล้ายกับจะหลับสำหรับผู้หัดภาวนาใหม่ๆ เมื่อภาวนามากเข้า จิตจะมีอาการเคลิ้มๆ ลงไปถ้าเราปล่อยลงไปประคองให้มันเป็นไปตามเรื่องตามราวของมันในที่สุดจิตของเราจะเกิดอาการหลับ บางทีมีอาการวูบลงไปบางทีก็ค่อยเคลิ้มๆ ไป เกิดอาการหลับลงไปจริงๆ
เมื่อมีอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว หลังจากนั้นจิตจะเกิดความสว่างขึ้นพอจิตเกิดความสว่าง จิตจะเริ่มบรรลุถึงความเป็น พุทธะ ผู้รู้ พุทธะ ผู้ตื่น พุทธะ ผู้เบิกบานในตอนนี้คำบริกรรมภาวนาจะหายไป ยังเหลือแต่จิตผู้รู้ปรากฏสว่างอยู่เท่านั้น
ในระยะแรกๆ เราจะรู้สึกว่าความสว่างพุ่งออกมาทางสายตาเมื่อกระแสจิตส่งออกไปข้างนอกตามแสงสว่าง จะเกิดภาพนิมิตต่างๆ ขึ้นมา
เมื่อเกิดภาพนิมิตต่างๆขึ้นให้ผู้ภาวนากำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียวอย่าไปเอะใจหรือตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
ให้กำหนดว่านิมิตนี้เป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติและนิมิตนี้เกิดขึ้นตอนที่จิตสงบเป็นสมาธิแล้วประคองจิตให้อยู่ในสภาพที่สงบ นิ่ง สว่างอยู่ตามเดิม
ในตอนนี้สำหรับผู้ภาวนาใหม่ สติสัมปชัญญะยังตามเหตุการณ์ไม่ทันในเมื่อเกิดนิมิตขึ้นมาแล้วมักจะหลง หลงติด บางทีก็เกิดความดีใจบางทีก็เกิดความกลัว และเกิดความเอะใจขึ้นมา สมาธิถอน นิมิตนั้นหายไป
แต่ถ้าสมาธิไม่ถอน จิตไปอยู่ที่นิมิตนั้น ถ้านิมิตนั้นแสดงความเคลื่อนไหวเช่น เดินไปวิ่งไป จิตของผู้ภาวนาจะละฐานที่ตั้งเดิม ละแม้กระทั่งตัวเองจิตจะตามนิมิตนั้นไป คิดว่ามีตัวมีตน เดินตามเขาไปเขาพาไปขึ้นเขาลงห้วยหรือไปที่ไหนก็ตามเขาไปเรื่อยๆ
ถ้าหากว่าผู้โชคดีก็ไปเห็นเทวดา เทวดาก็พาไปเที่ยวสวรรค์ถ้าหากว่าผู้โชคไม่ดีจะไปเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกก็พาไปเที่ยวนรก
อันนี้เพราะผู้ภาวนามีสติยังอ่อน ยังควบคุมจิตของตนเองให้รู้อยู่ภายในไม่ได้ในเมื่อเห็นนิมิตต่างๆ อย่างนั้น อย่าไปสำคัญว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นของดีวิเศษแท้ที่จริงเป็นแต่เพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติเท่านั้น
นักภาวนาที่ฉลาดจะกำหนดรู้อยู่ที่จิต ถึงความรู้สึกว่านิมิตสักแต่ว่านิมิตไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา แล้วก็ประคองจิตให้อยู่ในสภาวะเดิมไม่เปลี่ยนแปลงสมาธิจิตจะสงบนิ่งอยู่ นิมิตเหล่านั้นจะทรงตัวอยู่ให้เราได้พิจารณาได้นาน
บางทีนิมิตนั้นอาจจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติทำให้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันเหตุการณ์ภายในแต่แท้ที่จริงนิมิตนั้นแม้จะเป็นสิ่งที่เห็นในสมาธิก็ตามเป็นเพียงเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ
เหมือนมองเห็นรูปด้วยตาภายนอกเมื่อเรายังไม่ได้กำหนดจิตทำสมาธิจะมีค่าเหนือกว่ากันหน่อยก็ตรงที่อันหนึ่งเห็นด้วยตาธรรมดาแต่อีกอันหนึ่งเห็นด้วยอำนาจสมาธิ
แต่ถ้าไปหลงติดนิมิตนั้นก็เป็นผลเสียสำหรับผู้ปฏิบัติบางครั้งไปเข้าใจว่านิมิตนั้นเป็นวิญญาณมาจากโลกอื่น เข้ามาเพื่อจะขอแบ่งส่วนบุญและเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เราก็ตั้งใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลในเมื่อคิดแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ความคิดทำให้สมาธิถอน ในเมื่อสมาธิถอนขึ้นมาแล้ว นิมิตนั้นก็หายไปหมด วิญญาณเหล่านั้นเลยไม่ได้รับบุญกุศลที่เราให้
ขอทำความเข้าใจกันอีกครั้งว่า นิมิตที่เกิดขึ้นภายในสมาธินั้นให้ทำความเข้าใจเพียงแต่ว่าเป็นมโนภาพเอาไว้ก่อนอย่ารีบไปตัดสินว่าเป็นของจริงของแท้ให้นึกว่าเป็นมโนภาพที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง ให้ทำความรู้สึกไว้อย่างนี้ท่านจะเกิดความเฉลียวฉลาด
สมมติว่าเมื่อภาวนาแล้วจิตมีวิตก วิจาร ปีติ มีความสุขและมีความละเอียดสงบนิ่งลงไปถึงขั้นอัปปนาสมาธิและผู้ภาวนาสามารถที่จะฝึกฝนอบรมกายทำวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาให้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญ ฝึกฝนจนมีความคล่องตัว
นึกอยากจะเข้าฌานเมื่อใดก็เข้าได้ เมื่อเข้าฌานไปแล้วจิตจะรู้อยู่ในสิ่งๆ เดียวหรือในจุดๆ เดียว ความรู้อะไรต่างๆ ไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น ถึงแม้ว่าความรู้อะไรไม่เกิดขึ้นผู้ภาวนาก็ไม่ควรเสียอกเสียใจและไม่ควรกลัวว่าจิตของตนจะไปติดสมถะ
ความจริง เมื่อจิตนิ่งสงบลงไปสู่ความเป็นสมถะในขั้นอัปปนาสมาธิ อยู่ในขั้นฌานที่ ๔ โดยธรรมชาติของจิตที่อยู่ในฌานขั้นนี้ จะไม่มีความรู้ความเห็นอันใดปรากฏขึ้นนอกจากจิตจะไปรู้อยู่ในสิ่งๆ เดียว คือรู้เฉพาะในจิตอันเดียวเท่านั้นประกอบพร้อมด้วยความเบิกบานแจ่มใส สว่างไสวอยู่ภายในจิต จิตจะไม่มีความรู้เกิดขึ้น
ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าผู้ภาวนาสามารถทำจิตให้เป็นไปดังเช่นที่กล่าวนี้บ่อยๆ ครั้งเข้าถ้าต้องการให้จิตของท่านก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาโดยไม่ต้องไปหยิบยกเอาอะไรมาเป็นเครื่องพิจารณาเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิขั้นฌานแล้วจะมีความรู้สึกสัมผัสรู้ว่ามีกายในเมื่อกายมีปรากฏขึ้น จิตจะมีความคิดเมื่อเกิดความคิดขึ้น ผู้ภาวนารีบกำหนดรู้ ตามความคิดนั้นไปในตอนนี้จิตของเราจะคิดเรื่องบุญ เรื่องบาปเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องกุศล เรื่องอกุศล เรื่องโลก เรื่องธรรมปล่อยให้เขาคิดไปตามลำพังของเขา อย่าไปห้าม
หน้าที่ของเราเพียงทำสติตามรู้ไปโดยถือเอาความคิดเป็นเครื่องรู้ของจิตเครื่องระลึกของสติอีกครั้งหนึ่งในเมื่อเราหมั่นอบรมทำสติตามรู้ความคิดหลังถอนจากสมาธิแล้วทำจนคล่องแคล่ว ทำจนชำนิชำนาญ จนสามารถทำสติตามทันความคิดเมื่อสติตามทันความคิดขึ้นมาเมื่อใด จิตก็จะสงบเป็นสมาธิมีปีติ มีความสุข แล้วก็จะสงบละเอียดลงไปเป็นเอกัคคตาเช่นเดียวกับการภาวนาในเบื้องต้น
ข้อที่ควรสังเกตมีอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อจิตถอนออกจากอัปปนาสมาธิพอสัมผัสรู้ว่ามีกาย จิตจะมีความรู้ขึ้นมา เมื่อเราทำสติตามรู้ความคิดนั้นไปสติจะตามความคิดและตามจ้องดูกันไปตลอดเวลา จิตเมื่อยิ่งคิดมากก็ยิ่งมีความสบายเพราะจิตคิดด้วยพลังสมาธิที่ผ่านมาแล้ว แล้วเมื่อเราทำสติตามรู้ ตามทันความคิดนั้นความคิดกลายเป็นตัวปัญญา ปัญญาคือความรู้ที่เกิดขึ้นธรรมชาติของความรู้สึกนึกคิดย่อมมีเกิด มีดับ เมื่อผู้ภาวนาทำสติตามรู้ความคิดอยู่อย่างนั้น หนักๆ เข้าจิตก็จะรู้ความเกิด ความดับ
อะไรเกิด อะไรดับ ก็คือความคิดนั่นเอง จิตเป็นผู้เกิด จิตเป็นผู้ดับในเมื่อสติตามรู้ทันความเกิดดับของจิต จิตก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา มีความรู้มีความสำคัญมั่นหมายในสภาวะที่เกิดดับ-เกิดดับนั้นด้วยอนิจสัญญาคำว่าอนิจสัญญาคือความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยงในเมื่อจิตรู้สภาวะความไม่เที่ยงที่เกิดดับ จิตก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา
ดังนั้น ในเมื่อผู้ภาวนาทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิบ่อยๆ จิตก็ได้รับผลจากสมาธิได้รับความสุขจากสมาธิ หากพอจิตออกจากสมาธิก็รีบลุกออกจากที่นั่งถ้าทำอย่างนี้แล้วจิตก็ไปติดอยู่แค่ขั้นสมถะจากที่เคยทดสอบและทดลองมาแล้วควรจะได้ใช้สติกำหนดตามความคิดที่เกิดขึ้นหลังจากที่จิตถอนออกมาจากสมาธิแล้ว ดังที่กล่าวแล้ว
การทำสติกำหนดตามรู้ความคิด ผู้ภาวนาจะต้องมีความตั้งใจจดจ้องเป็นการพิจารณาสภาวธรรมในแง่วิปัสสนากัมมัฏฐานขอให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายพึงทำความเข้าใจอย่างนี้
เมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข มีเอกัคคตา มีความสงบ จิตไปนิ่ง ว่างวางเฉยอยู่อย่าไปภูมิอกภูมิใจความเป็นเพียงแค่นั้น เดี๋ยวจิตก็ติดสมถะ ไม่ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนาเมื่อเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร ก็ทำอย่างที่ได้อธิบายมาแล้วคือเมื่อจิตถอนออกจากฌานมาสัมผัสรู้ว่ามีกาย ก็รีบทำสติตามรู้ความคิดนี้ทันทีความคิดจะเรื่องโลกเรื่องบาป เรื่องบุญอะไร ปล่อยให้เขาคิดไป อย่าไปห้ามตามรู้ไปจนกว่าสติจะตามทันความคิด แม้ว่ามันจะคิดไม่หยุด ไม่เกิดความสงบอีกก็ตามแต่ถ้าหากว่าสติตามทันกันไปเรื่อยๆ เป็นอันใช้ได้
ถ้าความคิดที่เป็นจิตฟุ้งซ่าน คือจิตธรรมดาที่เราไม่มีสติ ยิ่งคิดไปยิ่งยุ่งในสมองคิดไปเท่าไรยิ่งหนักอก คิดไปมากเท่าใดยิ่งวุ่นวาย
แต่ถ้าคิดด้วยความมีสติสัมปชัญญะ โดยอาศัยพลังของสมาธิ ยิ่งคิดก็ยิ่งปลอดโปร่งยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเพลิดเพลิน คิดไปเสวยปีติและความสุขไปอีกอันนี้เป็นลักษณะของจิตที่เดินวิปัสสนากัมมัฏฐาน
และมีปัญหาที่จะพึงทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง นักภาวนาทั้งหลายในการเริ่มภาวนาในตอนต้นๆนี้ เช่น การบริกรรมภาวนา “พุทโธ” เป็นต้นทำไปแล้วจิตมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตสงบลงเป็นสมาธิ มีความสุขสบายเหลือล้น
พอทำจิตไปเรื่อยๆ แล้วภายหลังจิตไม่เป็นเช่นนั้น พอกำหนดลงไปนิดหน่อยมันมีแต่ความคิดบางท่านก็เข้าใจว่าภูมิจิตภูมิใจของตัวเองเสื่อมแล้ว เมื่อก่อนนี้ภาวนาจิตสงบแต่ขณะนี้จิตไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน
แต่ขอให้สังเกตให้ดี ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาในเมื่อศีลดี สมาธิเกิดขึ้นแล้วสมาธิก็พลอยดีไปด้วย เรียกว่า สัมมาสมาธิในเมื่อสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ เป็นอุบายให้เกิดปัญญาดังนั้น ผู้ภาวนาซึ่งเมื่อก่อนมีจิตสงบนิ่ง ภายหลังมาทำสมาธิมากๆ แล้วไม่เกิดเพียงเป็นสมาธิเพียงนิดหน่อย สงบนิดเดียวเท่านั้นแล้วก็มีแต่ความคิดเกิดขึ้นๆไม่หยุดหย่อนก็ไปเข้าใจว่าการทำสมาธิของตนเองนั้นเสื่อมแล้ว
บางท่านก็พยายามบังคับจิตให้หยุดคิด เมื่อเกิดมีการบังคับขึ้นก็เกิดอาการปวดศีรษะเพราะเป็นการฝืนกฎธรรมชาติที่มันจะเป็นไป เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านพึงสังเกตให้ดีเมื่อทำจิตเป็นสมาธิเมื่อใดก็มีแต่จิตสงบนิ่งเป็นสมถะมันก็ไม่มีความก้าวหน้า กำหนดจิตพิจารณาลงไปนิดหน่อยจิตสงบ เมื่อสงบแล้วมีความคิด อาการเช่นนี้แสดงว่าจิตกำลังก้าวหน้ากำลังอยากค้นคว้าหาความจริงในความเป็นไปของสภาวธรรม
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากจิตฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องของปัญญาที่เกิดมาจากสมาธิเพราะเราไม่เห็นว่าจิตของเรานี้ฝึกไปได้สารพัดอย่าง ไม่มีขอบเขตเพราะจิตของเราไม่ได้คิดเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจึงสำคัญว่าจิตของเราฟุ้งซ่านแต่แท้ที่จริงการพิจารณาธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมนี้ก็หมายถึงเห็นความคิด รู้ความคิดของตนนั่นเอง คือความมีสติสัมปชัญญะ
เมื่อกำหนดจิตลงไปแล้ว เกิดความคิดขึ้นมา คิดไม่หยุดเราก็ทำสติตามรู้ความคิดดังที่กล่าวแล้ว นี่แสดงว่าจิตต้องการก้าวหน้า ต้องการเดินหน้าต้องการพิจารณาค้นคว้า ผู้ที่ปฏิบัติรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าจิตของตัวเองฟุ้งซ่านก็พยายามบังคับจิตของตนเองอยู่อย่างนั้นแหละ บังคับให้มันหยุดคิดในเมื่อบังคับแล้วมันจะไม่คิด ไม่คิดก็กลายเป็นจิตที่โง่ คำว่าสมาธิอบรมปัญญาก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้น อย่าพยายามไปบังคับจิตให้หยุดคิดหน้าที่ของเราคือทำสติตามรู้ความคิดไปทำสติตามรู้ไป
ความคิดนั่นแหละคือเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติความคิดเป็นฐานที่ตั้งอันมั่นคงของสติ ตราบใดที่จิตยังมีความคิด สติยังมีความระลึกสิ่งที่เราจะพึงได้จากการภาวนาคือความที่สติมีพลังแก่กล้าขึ้นจนเป็นมหาสติเป็นสติที่มีฐานที่ตั้งอย่างมั่นคง แล้วกลายเป็นสติพละ เป็นสติที่มีพละกำลังอันเข้มแข็งกลายเป็นสตินทรีย์ สติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง เมื่อเป็นสติพละ เป็นสตินทรีย์เมื่อสติตัวนี้เพิ่งพลังแก่กล้าขึ้น จึงกลายเป็นสติวินโย จิตของเราจะมีสติเป็นผู้นำ
แม้จะตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตามจิตจะมีความสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ตลอดเวลาในเมื่อจิตกระทบอารมณ์อันใดขึ้นมาสติตัวนี้จะออกไปรับและพิจารณาให้เกิดรู้เหตุรู้ผลขึ้นมาเมื่อรู้เหตุรู้ผลแล้วจิตมันก็จะปล่อยวางไปเอง - 003
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา คัดลอกมาจาก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21460
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี