พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า กรรมมีสองอย่าง คือ ปุราณกรรม ได้แก่กรรมเก่า และนวกรรม ได้แก่ กรรมใหม่ และได้ตรัสอธิบายว่า กรรมเก่า ได้แก่อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ส่วนกรรมใหม่ก็ได้แก่การงานที่ ทำ พูด คิด ด้วยมีเจตนา อยู่ในปัจจุบัน
ลองคิดว่าทำไมจึงตรัสอายตนะทั้ง ๖ ว่าเป็นกรรมเก่า ก็เพราะว่าทุกๆ คนได้มาตั้งแต่เกิด คือเกิดมา ถ้าไม่พิกลพิการ ก็มีตา มีหู เป็นต้น มาด้วยกันทุกคน และเมื่อมีมาแล้ว ก็ต้องเห็น ก็ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องได้รส ต้องถูกต้อง และต้องคิดบางคราวไม่อยากดูก็ต้องดู ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง แม้ไม่อยากคิดก็ต้องคิด คือว่าจะเลือกเอาตามชอบใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะมีตาจนถึงมีใจติดตัวมาแล้วทั้ง ๖ นี้จึงว่าเป็นกรรมเก่า ซึ่งทุกๆ คนจะต้องเสวยกรรมเก่าของตนคือ ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์ไปต่างๆ เพราะตา หู ตลอดถึงเพราะใจของตนเองไม่อาจกหลีกเลี่ยงได้
นอกจากนี้ยังต้องยอมรับ ความ เกิด ความเสื่อมอันเกี่ยวกับตาหูของตนอีกด้วย เช่น ถ้าสายตาสั้นก็มองเห็นสั้นใกล้ ถ้ายิ่งตาบอดด้วยเลย ก็มองไม่เห็น ต้องทนเป็นคนตาบอดมองไม่เห็นต่อไป เมื่อมีกายก็ต้องยอมรับทุกๆ สิ่งที่มาถูกต้องกาย บางทีก็เป็นที่สบาย บางทีก็ไม่เป็นที่สบาย ถ้าถูกไฟไหม้หรือถูกอาวุธก็บาดเจ็บจนถึงตายไปก็ได้ ใครๆ คงไม่อยากจะให้มีอะไรมาต้องกายในทำนองนั้น แต่เมื่อมีกายก่อเกิดมาด้วยกันแล้วก็จำต้องรับ คิดดูดังนี้จะเห็นว่าเป็นกรรมเก่าจริงๆ ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด จนถึงตาย รวมความว่าคือ ตัวของเราเองหรือกายใจของเราเองนี่แหละเป็นกรรมเก่า
คนเรามักกลัวกรรมเก่ากัน แต่ไม่รู้ว่ากรรมเก่าที่กลัวนั้นคืออะไร คิดปั้นเอาว่าคือสิ่งที่มีอำนาจเหนือตน ซึ่งจะมาให้ทุกข์อย่างแสนสาหัส ความเชื่ออย่างนี้จึงเป็นเหมือนเชื่อในเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นแต่เพียงเปลี่ยนจากพูดว่าเทพเจ้ามาว่าเป็นกรรมไปเท่านั้น ตกว่าเชื่อในสิ่งที่ไม่รู้ กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ ส่วนพระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงกรรมเก่า ก็ทรงชี้ให้ใครๆ เห็นได้ด้วยว่ากรรมเก่าคืออะไร เพราะอายตนะทั้ง ๖ เหล่านี้มีอยู่ด้วยกันทุกๆ คนแล้ว หากเชื่อพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมเก่าที่ไหนอีก ถ้าจะกลัวก็ให้กลัว ตา หู ตลอดถึงใจของตนเองนี่แหละ ที่จะก่อทุกข์ให้แก่ตนหากขาดสังวร คือ ความระมัดระวัง
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้สังวรตาหูตลอดถึงใจ คือ ให้มีสติรู้ระมัดระวังในเวลาที่เห็นอะไร ได้ยินอะไร ตลอดคิดอะไรต่างๆ เพื่อมิให้สิ่งที่เห็นที่ได้ยินเป็นต้น นั้นมาก่อความชั่วขึ้นในใจ หรือว่าผูกพันใจไว้ให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ถ้ามีสังวรใจอยู่ดังนี้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวกรรมเก่า
ส่วนกรรมใหม่นั้นเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว และทุกคนจะทำกรรมใหม่ขึ้นได้ก็ด้วยกรรมเก่านั้นแหละ ทั้งทางดีทางชั่ว เพราะต้องอาศัยตาหู เป็นต้น ทั้งในฐานะเป็นเครื่องมือ ทั้งในฐานะเป็นเหตุก่อเจตนา ถ้ามีความสังวรดีอยู่ ก็จะก่อเจตนาที่เป็นบุญ เป็นกุศลอย่างเดียว
โอวาทธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
-003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี