วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 นายเดชรัต สุขกำเนิด อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขียนบทความ “การสร้างข้อตกลงร่วมกันทางการเมือง” เผยแพร่ผ่านเฟซบีกส่วนตัว “Decharut Sukkumnoed” ระบุว่า
สัปดาห์ก่อนผมได้พบหารือกับ พรรคสังคมประชาธิปไตยของเดนมาร์ก ได้คุยกันหลายเรื่องเลย และสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากระบบการเมืองของเดนมาร์กคือ การสร้างฉันทามติหรือข้อตกลงร่วมกันของสังคม
ด้วยระบบการเลือกตั้งและรัฐสภาของเดนมาร์กที่เป็นการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กล่าวแบบย่อ) จะทำให้เดนมาร์กได้รัฐบาลผสมแบบหลายพรรคตลอดมา แต่รัฐสภาและรัฐบาลแบบหลายพรรคไม่ได้ส่งผกระทบทางลบต่อความเข้มแข็งของรัฐบาล/สังคมเดนมาร์กมากนัก ก็เพราะ ระบบฉันทามติ หรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างพรรคการเมือง “เป็นรายประเด็น”
การทำข้อตกลงหรือการแสวงหาประชามติดังกล่าวจะทำแบบเปิดเผย และแยกแยะเป็นรายประเด็น ถ้าจะยกตัวอย่างในกรณีแบบไทยๆ ก็เช่น (ก) สมรสเท่าเทียม (ข) สุราเสรี (ค) สวัสดิการถ้วนหน้า VS ความยากจนพุ่งเป้า (ง) พลังงานหมุนเวียน ฯล ถ้าในตัวอย่างของเดนมาร์กก็เป็นนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพจากยูเครน เป็นต้น โดยแต่ละพรรคจะมีจุดยืนของตนในแต่ละประเด็น และประกาศพร้อมทำข้อตกลงและร่วมมือกับพรรคอื่นๆ ในประเด็นนั้น
การประกาศจุดยืนและการแสวงหาข้อตกลงร่วมกัน จะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง และจะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง และจะเข้มข้นอีกครั้ง เมื่อจะต้องจัดตั้งรัฐบาล (ผสม) เพราะพรรคการเมืองที่จะมาเป็นรัฐบาล (มาถึงมาเป็นรัฐมนตรี) ย่อมต้องมีจุดยืนที่ใกล้เคียงกัน และพร้อมผลักดันร่วมกันในหลายๆ ประเด็น ซึ่งก็มีนัยยะว่า นโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลตกลงกันได้นั้น ก็น่าจะประสบผลสำเร็จไม่ยากนัก
ความน่าสนใจเพิ่มเติมของระบบการเมืองแบบเดนมาร์กยังมีเพิ่มเติมอีก 3 ประเด็น คือ (ก) เดนมาร์กมีพรรคที่ประกาศสนับสนุนรัฐบาลแต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาลด้วย (ข) พรรคการเมืองเดนมาร์กมีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล (บางพรรค) กับพรรคฝ่ายค้าน (บางพรรค) ในแต่ละประเด็นนโยบายที่เห็นตรงกันด้วย และ (ค) มีประเด็นนโยบายบางอย่างที่ทุกพรรคเห็นตรงกันหมดด้วย เช่น ระบบรัฐสวัสดิการ
แน่นอนว่า ข้อตกลงทุกอย่างเป็นการประกาศที่ชัดเจนต่อสาธารณะ และข้อตกลงต่างๆ จะต้องไม่ขัดกับคุณค่าหลัก/แนวทางหลักของพรรคนั้น มิฉะนั้น พรรคนั้นก็จะสูญเสียฐานคะแนนนิยมได้ในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของกลไกนี้คือ ภาคประชาสังคม และประชาชนที่เข้มแข็ง ในการติดตาม/ผลักดันประเด็นทางสังคมรายประเด็น โดยสามารถแสวงหาความร่วมมือกับผู้คนในสังคม และร่วมมือกับพรรคการเมืองต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง
ผมเคยเห็นในบางประเทศ ที่ภาคประชาสังคมไปสนับสนุนการทำรัฐประหาร เพียงเพราะจะผลักดันประเด็นเฉพาะที่ตนทำงานอยู่เท่านั้น โดยไม่สนใจต่อเสียงของภาคประชาสังคมอื่นๆ ที่จะต้องถูกจำกัด/ควบคุมโดยคณะรัฐประหารและผู้สืบทอด
ผมชอบแนวทางและกลไกแบบนี้ เพราะ (ก) เป็นกลไกที่เปิดเผย (ข) ชัดเจนในหลักการ (ค) ยืดหยุ่นในการดำเนินการ (ง) พร้อมรับทุกเสียงอย่างแท้จริง เพราะเแม้จะเป็นฝ่ายค้านก็อาจจะยังผลักดันนโยบาย (บางด้าน) ของตนเองได้ ผ่านการร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาล (บางพรรคหรือทุกพรรค) และสุดท้าย ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็คือ สาธารณชน โดยไม่ต้องติดกับว่า พรรคของตนอยู่ในสภาวะใด (ฝ่ายรัฐบาล/ฝ่ายค้าน) และจะร่วมมือกับใครได้บ้าง
ผมเชื่อว่า ถ้าการเมืองไทยมีกลไกแบบนี้ พรรคการเมืองต่างๆ จะขยันทำงานนโยบายมากขึ้น และมีเวลาในการทำงานนโยบายมากขึ้น และสามารถทำงานนโยบายได้อย่างกว้างขวาง และเปิดเผย พร้อมๆ กับการลดทอนความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้าม/คู่แข่งไปด้วยในตัว
บางทีกลไกแบบนี้ อาจเริ่มต้นในระดับกรุงเทพมหานครก็เป็นได้นะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี