ศาสนาของเราอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะว่ามีโบสถ์มีเจดีย์ มีถาวรวัตถุต่างๆ เพราะโบสถ์ เจดีย์ ถาวรวัตถุต่างๆ ที่สร้างมาในยุคสมัยพุทธกาลก็ชำรุดทรุดโทรมหายไปหมดแล้ว กลายเป็นซากปรักหักพัง แต่พระธรรมคำสอนนี้ยังมีการเผยแผ่อยู่ มีการศึกษาอยู่ มีการบรรลุอยู่ เมื่อบรรลุแล้วก็สามารถที่จะไปเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้อื่นได้อีกทอดหนึ่ง
ดังนั้น การที่เราจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจึงต้องทำนุบำรุงด้วยธรรม ๔ ข้อด้วยกัน คือ ๑.การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทางบาลีเขาเรียกว่าปริยัติธรรม ต้องศึกษาก่อนถึงจะได้รู้ว่าต้องปฏิบัติอะไร ที่เรามาฟังกันนี่เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราต้องปฏิบัติโดยหลักก็คือ ๓ หัวข้อใหญ่ๆ ทาน ศีล และภาวนา และเราก็ต้องไปศึกษาว่าทำทานอย่างไหนถึงจะถูกต้อง ทำมากทำน้อยอย่างไร มีรายละเอียดต่อไป แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำให้ครบร้อย เต็มร้อย ถึงจะสามารถทำให้ดับความทุกข์ต่างๆได้อย่างเต็มร้อยนั้นเอง ถ้าทำอย่างละ ๕๐/๕๐ ก็จะดับได้เพียง ๕๐ อันนี้ก็คือการศึกษา
เมื่อรู้แล้วว่าเราต้องทำทาน เสียสละ แบ่งปัน สละทรัพย์สมบัติข้าวของไม่ให้มีมากเกินกว่าความจำเป็นที่ต้องมี เพราะเงินทองนี้ถ้ามี มันมักจะถูกกิเลสดึงไปใช้มากกว่า แทนที่จะเอาเงินทองมาดับความทุกข์ กลับเอาเงินทองมาสร้างความทุกข์ให้กับเราโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเราเอาเงินทองไปใช้ตามความอยากต่างๆ นั้นเอง เพราะมันใช้แล้วมันติด มันก็ต้องใช้อยู่เรื่อยๆ แล้ววันไหนถ้ามันไม่มีใช้ มันก็จะทุกข์ แล้วก็ต้องทุกข์อยู่กับการไปหาเงินมาเติมอยู่เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าเราอย่าเอาเงินไปใช้ตามความอยากต่างๆ ใช้กับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ คือปัจจัยสี่ อันนี้ยกตัวอย่างของการศึกษาเพื่อนำเอาไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วผลก็คือปฏิเวธจะตามมา ศึกษา ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ คือการบรรลุธรรมขั้นต่างๆ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี่เองคือปฏิเวธ
เมื่อบรรลุถึงพระนิพพานแล้วก็มีความรู้สมบูรณ์ สามารถนำเอาความรู้นี้ไปเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง และถ้าที่ไหนมีพระอริยะบุคคลเผยแผ่สั่งสอน ที่นั้นมักจะมีศรัทธาคนเข้าหากัน แล้วก็ไปสร้างอะไรต่างๆ ถวายท่าน ครูบาอาจารย์ต่างๆนี้ ท่านเริ่มต้นด้วยการไปอยู่ธุดงค์ในป่านะ แต่ละองค์นี่ ท่านไม่มีวัดของท่านเอง ท่านก็ศึกษากับครูบาอาจารย์ที่อยู่วัด แล้วพอท่านออกไป ท่านก็ไปแสวงหาธรรมตามที่ต่างๆ พอท่านบรรลุธรรม ท่านอยู่ที่ไหนก็มีคนเข้าไปถวายปัจจัยสี่ ถวายถาวรวัตถุต่างๆ ปรากฏกลายเป็นวัดขึ้นมามากมายก่ายกอง เพราะอำนาจของพระธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่ในใจของท่าน ที่ผู้ใดได้ยินได้ฟังแล้วจะเกิดความประทับใจ เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เพราะเป็นธรรมที่ทำให้ใจสงบเย็นได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บรรลุหลุดพ้นเลยทีเดียว แต่เพียงแต่ได้ยินได้ฟัง
ด้วยเหตุด้วยผลตามหลักความเป็นจริงแล้วก็ทำให้ใจที่รุ่มร้อนนั้น เย็นลงได้อย่างมหัศจรรย์ใจ จึงมีศรัทธาในพระอริยะบุคคลที่เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้มีดวงตาผู้รู้ธรรมจริงๆ จึงปรากฏมีถาวรวัตถุต่างๆตามมา แต่ท่านก็คอยควบคุมไม่ให้มีการก่อสร้างเกินเหตุเกินผล เช่น สมัยที่เราอยู่วัดป่าบ้านตาดนี้ ท่านก็ให้มีแค่ศาลากับกุฏิเท่านั้นเอง อย่างอื่นไม่มี โบสถ์ เจดีย์ ไม่มี วิหารอะไรต่างๆ ไม่มี แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินจะถวายโบสถ์ให้ท่านก็บอกปฏิเสธไป บอกว่าท่านให้ความสำคัญต่อการสร้างพระมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุ เพราะโบสถ์ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะสามารถทำกิจกรรมทางศาสนาได้โดยไม่ต้องมีโบสถ์ก็ได้
นี่แหละคือตัวศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่พระธรรมคำสอน และต้องอยู่ในใจของพระอริยะบุคคล อยู่ที่ในใจของผู้ที่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ คือพระอรหันต์ ถ้าอยู่ในพระไตรปิฎกนี้มันเป็นธรรมที่ค่อนข้างที่จะ ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงอยู่ แต่เป็นธรรมที่ยากต่อการเข้าใจเข้าถึงได้ ไม่เหมือนกับธรรมที่มีอยู่ในใจของพระอริยสงฆ์สาวก ท่านสามารถที่จะนำเอามาพูดให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังเข้าใจได้อย่างง่ายดาย และตรงประเด็นที่สุด พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกนี้มีมากมาย เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมในระดับต่างๆกัน ให้กับบุคคลในระดับต่างๆ กัน มันถึงมีมากมาย แต่ถ้าผู้ที่ศึกษาจริงๆ แล้วจะรู้ว่าก็จะสรุปลงอยู่ที่ธรรมสามขั้นนี้เท่านั้นก็คือ ทาน ศีล ภาวนา
แต่ถ้าผู้ที่ยังไม่เข้าใจนี้ ศึกษาไปแล้วก็งง ไม่รู้ว่าจะศึกษาพระสูตรอันไหนดี งงไปหมดเพราะมีธรรมเยอะแยะไปหมด ๘๔,๐๐๐ ธรรมบท ไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ตรงไหนกัน แต่ถ้าเขาเข้าหาพระอริยะสงฆ์สาวก ท่านก็บอกว่าทำทานสิโยม รักษาศีล ภาวนา แค่นี้แหละไม่ต้องไปสนใจกับอะไรมากเกินไป นี่คือองค์ประกอบของพระพุทธศาสนา อยู่ที่ใจของพระอริยะสงฆ์สาวก และธรรมที่จะอยู่ในใจของพระอริยะสงฆ์สาวกได้นี้ก็ต้องเกิดจากการมีการศึกษา มีการปฏิบัติ แล้วก็มีการบรรลุธรรม แล้วก็มีการนำเอาธรรมที่บรรลุนี้ไปเผยแผ่ให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ต่อไป
ถ้ามีการปฏิบัติ ๔ ข้อนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง ศาสนาจะไม่มีวันล่มสลาย ถึงแม้วัดวาอารามจะถูกฝ่ายไม่ประสงค์ดีทำลาย ระเบิด ทำลายพระพุทธรูป ตัดเศียรพระพุทธรูปไปเป็นเครื่องประดับ หรืออะไรก็สุดแท้แต่ ของเหล่านี้มันไม่ได้เป็นตัวพระศาสนาอย่างแท้จริง เป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องแสดงศรัทธาของชาวพุทธผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมด้วยการปฏิบัติได้ ก็ขอเข้าถึงด้วยการทำบุญทำทานถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาไปก่อน ด้วยการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ โบสถ์ เจดีย์อันสวยงาม เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้ที่มีฐานะเงินทองนี้สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
แต่จะให้เขามารักษาศีล มาภาวนานี้ มันเป็นของที่ยากสำหรับเขามาก เพราะเขาเกิดอยู่บนกองเงิน กองทอง อยู่บนความสุขของกามสุข คือรูป เสียง กลิ่น รส การที่จะทำให้เขาต้องมารักษาศีล มาอดตาหลับขับตานอน อดข้าว อดอะไรนี้ อดการเสพความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น
กายนี้มันเป็นของที่ยากสำหรับเขาที่เขาจะทำได้ เขาก็เลยมักจะทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ ก็คือ บริจาคเงินทองที่เขามีให้กับศาสนา เพื่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ไว้เป็นที่สักการะบูชา ของชาวพุทธ แต่เราอย่าไปหลงประเด็นว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะศาสนานี้ไม่มีถาวรวัตถุต่างๆ ก็ยังสามารถอยู่ได้ เพราะในยุคที่เกิดขึ้นมาก็ไม่มีถาวรวัตถุต่างๆ เพราะฉะนั้นสาระของศาสนานี้อยู่ที่พระธรรมคำสอน ที่อยู่ในใจของผู้ที่บรรลุธรรม คือพระอริยสงฆ์สาวก เพราะเมื่อมีพระธรรมคำสอนอยู่ในใจของพระอริยสงฆ์สาวกแล้ว ท่านก็จะสามารถเผยแผ่ธรรมะนี้ให้แก่ผู้ที่ไม่มีธรรมได้ ผู้ที่ไม่มีธรรมก็สามารถศึกษาปฏิบัติแล้วก็บรรลุธรรมขึ้นมาได้
นี่คือเรื่องของศาสนาและวิธีที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ก็คือเราต้องศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วก็ปฏิบัติพระธรรมคำสอนให้เต็มร้อยให้ได้ เพราะเมื่อเราได้เต็มร้อยแล้ว เราก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้อย่างเต็มที่ เมื่อบรรลุได้แล้วเราก็จะได้ทำหน้าที่อนุรักษ์รักษาพระธรรมนี้ด้วยการเผยแผ่ให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ต่อไป เพื่อที่เขาจะได้รับพระธรรมจากใจไปสู่อีกใจหนึ่งต่อไป
โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี