พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา ในฐานะนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวถึง “หลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง” ซึ่งเกิดขึ้นจากการลงนามในบันทึกความร่วมมือกันระหว่างสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดทำชุดหลักสูตรเพื่อเสริมทักษะและความรู้ด้านการบริหารจัดการ ผลักดันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดิจิทัล เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน
ด้าน รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม บพท.อธิบายว่า ชุดหลักสูตรนักพัฒนาระดับสูงจะมีชื่อย่อว่า “พมส.” ประกอบด้วย 4 หลักสูตร (Modules) โดย Module แรกมีเป้าหมายเรียกว่าคือการสร้างความเข้าใจร่วมกัน กำหนดเป้าหมายร่วม สร้างวิสัยทัศน์ร่วมของการพัฒนาเมือง พัฒนาเทศบาล พัฒนาท้องถิ่นแนวใหม่ในยุคเศรษฐกิจใหม่ ที่ต้องอาศัยการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ทุกระดับทั้งเทศบาล อบต. อบจ. ภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาชน
นอกจากนี้ยังต้องปรับกระบวนทัศน์ วิธีคิดในการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน นำมาวิเคราะห์ศักยภาพเพื่อหาโอกาสในการพัฒนาเมือง พัฒนาพื้นที่ในยุคเศรษฐกิจใหม่ ว่าในพื้นที่ของแต่ละเมือง แต่ละเทศบาลจะมีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร หลังจบหลักสูตรสิ่งที่จะได้ก็คืออย่างน้อยจะทำให้เข้าใจว่าในระบบเศรษฐกิจใหม่มีความจำเป็นอย่างไร เมืองของเรามีศักยภาพมีโอกาสยังไงบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เราเชื่อมท้องถิ่นกับโลกอย่างไร
“หลังจากที่วิเคราะห์โอกาส และศักยภาพของเมือง ก็จะนำมาสู่เรื่องของ Module ที่ 2 คือข้อมูล ในโลกปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงดิจิทัล เทคโนโลยี คำถามก็คือว่าเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในเชิงของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล หรือแม้กระทั่งเอามาใช้ในเชิงของการเชื่อมโยงแผน เชื่อมโยงงาน คนงบประมาณ และเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ ด้วยระบบข้อมูลหรือเทคโนโลยีได้อย่างไร แล้วก็นำสิ่งเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” รศ.ดร.ศุภวัฒนากร กล่าว
ขณะที่ในหลักสูตรจะมีด้วยกัน 4 กรอบเฉพาะคือ 1.เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเทศบาลใดที่ไม่สามารถทำการเปลี่ยนผ่าน (Digital Transformation) ได้จะเสียโอกาส 2.เศรษฐกิจสีเขียว หรือเศรษฐกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ-Bio Economy, เศรษฐกิจหมุนเวียน-Circular Economy, เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม-Green Economy) เป็นกระแสมาแรงของยุคปัจจุบัน แต่จะทำอย่างไรให้ทุนเดิมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นทุนทางสิ่งแวดล้อม ทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมต่างๆ เหล่านี้ถูกนำกลับมาใช้แล้วทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของท้องถิ่น
3.ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หลายแห่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นมิติทั้งในเชิงของประวัติศาสตร์ มิติของทางวัฒนธรรม ซึ่งตรงนี้ถือเป็นสินทรัพย์ของเราในปัจจุบัน เพียงแต่ยังไม่ได้ดึงสิ่งเหล่านี้มาใช้ในเชิงของการพัฒนาอาชีพหรือพัฒนารายได้ หรือพัฒนาคนให้เกิดความภาคภูมิใจในพื้นที่ ทั้งนี้มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่เข้าใจที่มาที่ไป ไม่เข้าใจรากเหง้าของตัวเองแล้วจะไปออกแบบอนาคตในพื้นที่ของตนเองได้อย่างไร ซึ่งเป็นต้นสายสำคัญในการออกมาเป็นเรื่องที่เรียกว่า Historical and Cultural Economy คือเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมของเราเอง
และ 4.กลไกทางการเงินใหม่ เดิมอาจจะเป็นการกู้ธนาคารพาณิชย์ กู้กองทุนหรือกู้ในระบบ นอกจากนี้อาจจะมาจากการระดมทุน แต่วันนี้เราเติมเครื่องมือทางการเงินใหม่ระดมทุนในลักษณะของ Crowdfunding ที่ทำให้เกิดกองทุนในการพัฒนาเมืองพัฒนาจะทำอย่างไร พูดถึงเรื่องของกองทุนของเมืองแต่กองทุนจะเกิดมารูปแบบไหนก็เป็นสิ่งที่ลงมือปฏิบัติ โดยใช้การวิจัยเป็นตัวสนับสนุนการดำเนินการ
“สิ่งที่จะได้รับเมื่อจบหลักสูตรนี้ก็คือ 1.ระบบข้อมูลของเมืองหรือท้องถิ่น ซึ่งเกิดขึ้นจากการสร้างระบบและเรียนรู้ไปด้วยกัน 2.วิธีการลงทุนแบบใหม่และวิธีการหาเงินรูปแบบใหม่ เพื่อการต่อยอดขยายโอกาสพัฒนาเมือง3.แผนธุรกิจและสังคมของท้องถิ่นและเทศบาล 4.เห็นถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบอาหารระบบเกษตรแบบใหม่5.เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยทุนประวัติศาสตร์และทุนวัฒนธรรม 6.การจัดการภาครัฐแนวใหม่ 7.กลไกการเงินแบบใหม่ และสุดท้าย 8.เรื่องการสร้างธรรมาภิบาลในท้องถิ่น เทศบาลและประชาชนสามารถตรวจสอบตนเองได้ในมิติต่างๆ” รศ.ดร.ศุภวัฒนากร ระบุ
ทั้งนี้ สำหรับหลักสูตรฯดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาในการเรียนทั้งสิ้น 12 เดือน ประกอบด้วยหลักสูตรทั่วไป (Generic Modules) ใช้ระยะเวลา 2 เดือน หลักสูตรเฉพาะ (Specific Modules) ระยะเวลา 6 เดือนและ 1 Project - Based Modules ระยะเวลา 4 เดือน โดยที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกและทาบทามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้าร่วมในหลักสูตรนี้ ซึ่งคาดหมายว่าจะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมในการเปิดหลักสูตรรุ่นที่ 1 ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จำนวน 30 องค์กรคิดเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมหลักสูตรประมาณ 100 คน
รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร บพท. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตรดังกล่าวจะมีความแตกต่างกับหลักสูตรอื่นๆที่เคยมี โดยเนื้อหาของหลักสูตรจะเน้นการนำเอาวิชาความรู้ไปลงมือปฏิบัติงานจริงในพื้นที่จริง ส่วนตัวชี้วัดผลลัพธ์ ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร จะพิจารณาประเด็นสำคัญ 3 ประการคือที่ความพึงพอใจของประชาชนในท้องถิ่น และขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการลงทุนด้วยตัวเอง รวมทั้งข้อค้นพบที่จะต่อยอดขยายผลเพื่อส่งมอบไปเป็นนโยบายกับภาคส่วนต่างๆ
“ความร่วมมือระหว่างสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กับ บพท. ในการทำหลักสูตรนักพัฒนาเมืองระดับสูง ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันของภาคีในท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยในพื้นที่ รวมทั้งเครือข่ายของสันนิบาตเทศบาล คู่ขนานไปกับแนวทางการทำงาน ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัด เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน หรือการลงทุนแบบใหม่ บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ถือว่าเป็นมิติใหม่ที่มีความสำคัญอย่างมาก” รศ.ดร.ปุ่น กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี