ไม่ใช่แค่ค่าทนาย! ‘TIJ-TDRI’เผยสารพัดต้นทุนตลอดกระบวนการยุติธรรม เหลื่อมล้ำทำคนจนเสียเปรียบ
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เผยแพร่บทความ “ไม่ได้แพงแค่ค่าทนาย แต่กระบวนการยุติธรรมมีราคาที่ต้องจ่ายตลอดทาง” ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Thailand Institute of Justice (TIJ)” ดังนี้
“ราคาของการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” กำลังเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก หลัง “ค่าทนายความ” ของทนายชื่อดัง ถูกเปิดเผยออกมาว่า มีราคาแพง ตั้งแต่ขั้นตอนขอคำปรึกษา ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่ “ทุกคน” เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม จริงหรือไม่
เป็นที่ยอมรับกันว่า “ค่าทนายความ” เป็นส่วนที่แพงที่สุดหากนับเป็นจำนวนเงินในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า แม้จะไม่จ้างทนายความเลย คนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นค่อนข้างสูง ทั้งค่าใช้จ่ายทางตรงและทางอ้อม ซึ่งทำให้ “คนจน” มีโอกาสที่จะได้รับความยุติธรรมน้อยกว่า “คนมีรายได้สูง”
ข้อมูลนี้ ถูกเปิดเผยในงานเสวนา “ความยุติธรรมมีราคาที่ต้องจ่าย” จัดโดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) โดยเปิดเผยงานวิจัยที่ทำร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) ซึ่งเป็นการนำงานวิจัยว่าด้วยเรื่อง “ต้นทุนและค่าเสียโอกาสในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประชาชน” ที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2561 มาเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจถึงค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส จาก TDRI เผยว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมนั้นอาจแบ่งออกได้เป็นของฝั่งรัฐบาลและประชาชน โดยในส่วนของภาครัฐ ในคดีที่เข้าสู่การพิจารณาในศาลชั้นต้น มีต้นทุนรวมเฉลี่ย พ.ศ. 2560 ที่ราว 1.25 แสนบาทต่อคดีส่วนใหญ่เป็นต้นทุนในชั้นพนักงานสอบสวน (84,002 บาท) และศาลชั้นต้น (19,766 บาท)
ส่วนของประชาชน ทั้งผู้ฟ้องร้องและผู้ถูกฟ้อง จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการตั้งแต่ชั้นกระบวนการฟ้อง กระบวนการสั่งคดี กระบวนการชั้นศาล และกระบวนการบังคับโทษ โดยมีตัวอย่างต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ ค่าเดินทางไปแจ้งความ ค่าเดินทางไปศาล ค่าพิสูจน์หาหลักฐาน ค่าขอคำปรึกษาทางกฎหมาย ค่าขอหลักฐานกล้องวงจรปิด ค่าตรวจดีเอ็นเอ
การขอคำปรึกษาทางกฎหมาย อาจเริ่มได้ที่เพียง 10 บาท กรณีใช้โทรศัพท์ไปขอคำปรึกษาทางกฎหมายจากสภาทนายความ/เนติบัณฑิตยสภา/กระทรวงยุติธรรม และค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นหากมีการเดินทาง หรือมีการว่าจ้างทนายความเพิ่มเติม แล้วแต่ความพึงพอใจของผู้ฟ้องร้องหรือผู้ถูกฟ้องร้อง
รายงานวิจัยดังกล่าว ระบุด้วยว่า ค่าจ้างทนายความจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคดีแต่ละประเภท ซึ่งคดีความที่ต้องใช้ระยะเวลานาน จะมีค่าทนายความมากกว่าคดีอื่นๆ เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เพศ และร่างกาย ที่ใช้เวลาพิจารณาคดีเฉลี่ย 209.88 วัน 131.49 วัน และ 119.49 วัน ตามลำดับ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแก่ทนายความเฉลี่ย 9.4 หมื่นบาท 5.8 หมื่นบาท และ 5.3 หมื่นบาทตามลำดับ ส่วนคดีที่เสียค่าใช้จ่ายแก่ทนายความน้อยที่สุดเป็นคดีเกี่ยวกับการจราจรที่มักจะไม่มีการใช้ทนายความ
ส่วนการจะชี้วัดว่ากระบวนการยุติธรรมควรมีราคาอย่างไรนั้นมีหลักแนวคิดอยู่สามประการ คือหลักทางเศรษฐศาสตร์ ทางบัญชี และทางสิทธิมนุษยชน ซึ่ง นณรฏ อธิบายว่า ในด้านเศรษฐศาสตร์แล้ว กระบวนการยุติธรรมควรมีราคาที่สมดุล ไม่ถูกหรือแพงไป แต่ให้ดูจากผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างคุ้มราคาที่สุด
“ในทางเศรษฐศาสตร์ เงินทุกบาทที่ใช้ของงบประมาณที่ใช้ไปเป็นภาษีของประชาชนในปีใดปีหนึ่ง หากเชื่อมโยงกับความยุติธรรม ก็ต้องอธิบายว่าต้นทุนในกระบวนการยุติธรรมยิ่งให้บริการมากเท่าไร ยิ่งมีคดีความมากเท่าไร ต้นทุนก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่อยากให้สูงเกินไป เพราะต้นทุนนี้ ท้ายที่สุดเป็นภาษีของประชาชน ต้องดูที่ผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้ หากมีข้อพิพาทกันในหลักที่แพง ก็จะได้ประโยชน์กว่าต้นทุนที่เกิดขึ้น แต่หากเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ไม่อยากให้ใช้”
นณริฏ อธิบายถึงหลักทางบัญชีว่า เน้นให้ตลาดเป็นตัวกำหนด ถ้าต้องใช้เงิน 3 แสน เพื่อออกรายการ ก็เป็นความพอใจของผู้ใช้บริการ แต่ก็จะทำให้มีคนไม่กี่คนที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ขณะที่หลายคนก็บอกว่าวิธีการนี้ดี เพราะอาจทำให้บริษัทกฎหมายแต่ละแห่งได้มีเงินทุนที่จะนำไปวิจัยพัฒนาได้มากขึ้น เช่นการพัฒนา AI มาช่วยในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และอีกหลักคิดหนึ่งคือเป็นแนวทางของนักสิทธิมนุษยชนที่ให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อาจทำให้คนเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมเต็มไปหมด
นณริฏ เสริมด้วยว่า ในแง่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม คนมีฐานะแตกต่างกันมากขึ้นทำให้เกิดปัญหาที่ในภาษาอังกฤษอาจแปลได้ว่าค่าปรับเป็นค่าธรรมเนียม เช่น การจอดรถในที่ห้ามจอดแล้ววางเงินไว้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียม ต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหา pain point ที่ “คนจนยินดีจ่ายเวลา คนรวยยินดีจ่ายเงิน”
นอกจากต้นทุนที่สามารถวัดได้แล้ว การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยังรวมถึงต้นทุนแฝงที่มาพร้อมกันด้วย สิรินทิพย์ สมใจ ทนายความและนักวิชาการอิสระ Shero Thailand ให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า จากการเป็นทนายความอิสระให้คดีส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงในครอบครัว ทำให้ได้พบเห็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้ประสบเหตุ เช่น ค่าเดินทางและที่พักอาศัยระหว่างที่ต้องเดินทางระหว่างสถานที่เกิดเหตุกับสถานที่หลบภัย กรณีที่ต้องการหลีกหนีจากผู้ก่อเหตุ ค่าเสียโอกาสสำหรับผู้ที่กำลังเรียนหนังสือและผู้ที่ต้องลางาน
“การแจ้งความและส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในพื้นที่เกิดเหตุ ทำให้ผู้ประสบเหตุต้องมีต้นทุนค่าเดินทาง ค่าที่พักซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่าตัวเพราะผู้ประสบเหตุรุนแรงในครอบครัวจะต้องการที่พึ่งทางใจที่รู้สึกปลอดภัย อาจต้องเดินทางร่วมกับผู้อื่น และบางส่วนยังมีผลกระทบทางจิตใจ เกิดความหวาดกลัวที่ต้องกลับไปยังพื้นที่เกิดเหตุหรือต้องเจอผู้ก่อเหตุ ทำให้หลายคนต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการรับการรักษาภายหลังด้วย” สิรินทิพย์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีหน่วยงานภาครัฐที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดย มนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวว่า กองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม มีแนวคิดให้มีกลไกแทรกแซงช่วยคนที่ไม่มีกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยตนเอง โดยให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายทางตรงแก่ทั้งผู้ต้องการฟ้องร้องและผู้ถูกกล่าวหาในขั้นตอนก่อนการพิจารณาคดี เช่น ค่าจ้างทนายความ ค่าฤชาธรรมเนียมคดีแพ่ง เงินประกันตัวในการขอปล่อยตัวชั่วคราวในกรณีเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาคดีอาญา มีการกำหนดค่าทนายความไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อคดีตั้งแต่ต้นจนจบคดี และมีค่าตอบแทนทนายที่ปรึกษาประจำวัน วันละ 1 พันบาท และค่าปรึกษา 20 บาทต่อคดี ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการช่วยเหลือประชาชนอยู่ที่ 1.8 หมื่นบาทต่อราย และการปล่อยตัวชั่วคราวมีค่าเฉลี่ยที่ 4 แสนบาท นอกจากนี้ หากถูกควบคุมตัวแล้วไม่มีความผิด กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะให้เงินเยียวยาแล้วส่วนหนึ่ง และกองทุนยุติธรรมให้เสริมเฉลี่ยรายละ 1 แสนบาท
“คนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจริงๆ จะไม่ได้เป็นคนยากไร้ขนาดไม่มีเงิน แต่เป็นฐานะปานกลางที่มีปัญหาถึงร้อยละ 70-80 เราดูค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเทียบกับรายได้ว่ามีปัญหาหรือไม่ อย่างกระทำผิดคดีผิดสัญญาแพ่ง ยิ่งถูกควบคุมตัวยิ่งทำอะไรไม่ได้ เพื่อให้โอกาสในการออกมาหาเงินเพื่อชดใช้ในคดีนั้นๆ”
มนินธ์ ยอมรับด้วยว่า แม้จะมีการช่วยเหลือ แต่กระบวนการเพื่อพิจารณาช่วยเหลือผู้ร้องขอในแต่ละขั้นตอนใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง เช่น การต้องตรวจสอบหลักฐานของผู้ร้องขอว่าเป็นจริงหรือไม่ อย่างกรณีประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบ ถือเป็นความท้าทาย ทำให้เกิดความล่าช้าในการช่วยเหลือผู้ร้องขอ ขณะเดียวกันยังมีต้นทุนแฝงในส่วนของเจ้าหน้าที่ ทั้งด้านสวัสดิการและการให้ความช่วยเหลือด้านสภาพจิตใจของเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับฟังเรื่องร้องทุกข์ของผู้ที่ยื่นคำร้องด้วย
ในงานเดียวกัน ตัวแทนจากภาคเอกชนยังได้ร่วมเสนอแนวทางลดต้นทุนในการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างการปรับปรุงระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐ (Electronic Correspondence Management Services - E-CMS) และระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (Court Integral Online Service - CIOS) ให้สามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นผ่านแอพพลิเคชั่นที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และการยื่นเรื่องฟ้องร้องด้วยตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นอย่าง JusThat เป็นต้น
งานเสวนา “ความยุติธรรมมีราคาที่ต้องจ่าย” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่สำนักงาน TIJ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 30 เมษายน 2566 มีการจัดนิทรรศการนำเสนอข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง 'เวลาและค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม' ด้วย ผู้สนใจเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถทำความเข้าใจต้นทุนในกระบวนการยุติธรรม ผ่านนิทรรศการออนไลน์ “คดีอาญา...กับราคาของความยุติธรรม ที่คุณอาจต้องจ่าย” ได้ที่นี่ https://www.tijthailand.org/justice-cost/
#tijcommonground
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี