“รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2563 เขาก็เริ่มทำแบรนด์ตอนนี้เขาก็ประกาศว่าเพจเขาจะครบ 4 ปีแล้ว ก็ทำกันหลายครั้งช่วงปี 2563-2564 เพราะมีปัญหาโดนจับกันเยอะ แล้วก็มาเห็นว่าคุณเบนซ์ของประชาชนเบียร์เขาเป็นสายต่อสู้ เราคิดจะทำอะไรเขาไปกับเราด้วยเดือนพ.ค. 2563 เขาไปยื่นหนังสือที่กฤษฎีกาเรื่องขอแก้ไขกฎหมาย คือกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของรัฐบาล รับผิดชอบเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของประชาชน หรือมันมีความไม่ยุติธรรมอะไรต่างๆ หรือขั้นตอนในกฎหมายเยอะเกินไป ประชาชนก็ไปแจ้งได้”
ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี บอกเล่าผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Surathai” เครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนท้องถิ่น เมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 มี.ค. 2566 ถึงกรณีเบนซ์-ธนากร ท้วมเสงี่ยม แอดมินเพจ “ประชาชนเบียร์” ถูกแจ้งข้อหาถึง 15 คดีในความผิดฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามมาตรา 32 ของกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551
จากการพบข้อมูลว่ามีหลายคนถูกดำเนินคดีด้วยมาตราดังกล่าว นำไปสู่การรวมตัวกันของผู้เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดงานเสวนาหัวข้อ “ไม่คบ 32”ขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2563 เพื่อสร้างการรับรู้แก่สังคมเกี่ยวกับปัญหาของข้อกฎหมายเนื่องจากแม้จะเป็นเพียงผู้บริโภคทั่วๆ ไปหากไปพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลักษณะหมิ่นเหม่เข้าข่ายองค์ประกอบของกฎหมายก็อาจถูกดำเนินคดีได้
รวมถึงมีข้อสังเกตว่า กฎหมายนี้ให้อำนาจหน่วยงานบังคับใช้เปรียบเทียบปรับโดยไม่จำเป็นต้องนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล และมีการแบ่งเงินรางวัลนำจับให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และบุคคลที่แจ้งเบาะแส แต่ถึงจะมีกฎหมาย ในความเป็นจริง
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เห็นได้จากยอดขายของผู้ผลิตรายใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี จากนั้น
จึงนำไปสู่การ “ล่ารายชื่อ” รวบรวมเสียงสนับสนุนจากประชาชนเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551ท่ามกลางสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในเวลานั้น
ผศ.ดร.เจริญ ซึ่งอีกด้านก็เป็นแอดมินเพจ Surathai ด้วย อธิบายว่าโพสต์ต่างๆ ของเพจประชาชนเบียร์ เป็นการกล่าวถึง “ภาพฝันในสักวันหนึ่งที่กฎหมายไทยเปิดกว้าง” การพูดถึงเรื่องราวหรือประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิด-แต่ละยี่ห้อ สามารถทำได้โดยไม่มีความผิด ซึ่งเมื่อประกอบกับการปลดล็อกเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดการผลิตของผู้ประกอบการรายย่อย ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น
แต่ที่ผ่านมาถูกไล่จับผิดจากคนที่พยายามจะตั้งแง่ฟ้องร้องอยู่เสมอ ซึ่งก็มีคำถามว่าเกี่ยวข้องกับส่วนแบ่งรางวัลนำจับหรือไม่ โดย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 วรรคหนึ่งมีถ้อยคำระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม
“การที่เขาโดนค่าปรับนี้เกือบล้านบาท15 กรรม มาจาก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตรา 32 “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” การโฆษณาคืออะไร? ทำให้คนอื่นรู้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ก็คือขายของ แต่ว่าประชาชนเบียร์ไม่ได้ขายของ ฉะนั้นประเด็นห้ามโฆษณาตกไป แต่มันมีคำว่า “หรือ” อันนี้ครอบจักรวาล แล้วถ้าใครยังนั่งกระดิกเท้ากินเบียร์อยู่ที่บ้าน ไม่ได้เดือดร้อนกับมาตรานี้ สักวันก็จะโดน เพราะว่า “หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมาย” ก็คือถ้าเห็นชื่อหรือเครื่องหมาย
แต่มันต้องเข้าองค์ประกอบต่อไปก็คือ “อันเป็นการ” ก็คือเพื่อหรือทำไปแล้วเกิดอะไรขึ้นด้วย คือมันจะต้องมีการครบองค์ประกอบ ก็คือ “อวดอ้างสรรพคุณ” ถ้าผมบอกว่าอันนี้ดีอย่างไรก็เป็นอวดอ้างสรรพคุณ แต่ถ้าไม่อวดอ้างสรรพคุณก็มีคำว่าหรืออีก “หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่ม” ถ้าไม่บอกสรรพคุณก็ทำให้เขาอยากดื่ม เช่น ชวนมาดื่มกัน หรือจะบอกว่ามีขายที่นี่
ที่นั่น ชักจูงให้ไปซื้อ แถมด้วยวลีสุดท้าย “โดยตรงหรืออ้อม” โดยอ้อมก็โดน ฉะนั้นมาตรานี้ครอบจักรวาล ฉันต้องการจะจับทุกคนที่พูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศนี้” ผศ.ดร.เจริญ ระบุ
สำหรับอัตราโทษของผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 ในมาตรา 43 ระบุว่า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการให้อำนาจเจ้าพนักงานตามกฎหมายเปรียบเทียบปรับได้ จะอยู่ในมาตรา 45 ซึ่งผศ.ดร.เจริญ กล่าวว่า อัตราการเปรียบเทียบปรับมีตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสนบาทขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ผลิต จำหน่าย หรือเป็นเพียงบุคคลทั่วไปที่แสดงความคิดเห็น โดยหากไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับก็ต้องส่งต่อคดีให้ศาลตัดสิน อีกทั้งเมื่อถูกจับกุมก็ต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือเข้าสู่ระบบทะเบียนประวัติอาชญากร ทั้งที่มีพฤติกรรมเพียงการพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นสุนทรียะของอารยธรรมมนุษย์เท่านั้น
กลับมาที่ความเคลื่อนไหวแก้ไขกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นด้วยกับคำชี้แจงเรื่องปัญหาของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ไม่มีการตอบรับ ทำให้กลุ่มผู้ขับเคลื่อนการแก้ไขกฎหมายต้องดำเนินการต่อ ด้วยการนำรายชื่อประชาชน 11,169 คน ที่รวบรวมได้ ยื่นต่อรัฐสภา ในวันที่ 17 ม.ค.2564 ซึ่งการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนตามรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ใช้ที่
1 หมื่นรายชื่อ
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 ต.ค. 2564 ฝ่ายที่สนับสนุนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเข้มข้น ได้รวบรวมรายชื่อ107,917 คน (ต่อมาตรวจสอบแล้วที่ใช้ได้คือ 92,974 คน) ยื่นต่อรัฐสภาเช่นกัน ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า กลายเป็นการต่อสู้ของคน 2 กลุ่ม ระหว่างฝ่ายที่ต้องการผ่อนระดับการควบคุมให้ลดลง กับฝ่ายที่ต้องการยกระดับการควบคุมให้มากขึ้น โดยมีกลไกการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและการพิจารณาในรัฐสภาเป็นเวทีตลอดระยะเวลาปีเศษๆ แต่ยังไม่ทันได้
เข้าสู่ที่ประชุมก็มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน
ผศ.ดร.เจริญ ทิ้งท้ายด้วย “ท่าทีของพรรคการเมือง” เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ซึ่งพบว่า พรรคก้าวไกล เป็นพรรคแรกที่แสดงท่าทีคัดค้านการใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับประชาชนอย่างไร้ขอบเขต ตามด้วย พรรคชาติพัฒนากล้าที่มีตัวแทนผู้สมัคร สส. ประกาศจุดยืนในนามพรรคทำนองเดียวกัน จึงอยากฝากให้ประชาชนในฐานะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เรียกร้องต่อพรรคการเมืองต่างๆ ที่ประชาชนจะตัดสินใจลงคะแนน ให้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนี้ด้วย
“ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ใช้เหตุผลคุยกันดีกว่า ถ้าทำให้ประเทศดีขึ้น ทำให้ควบคุมการบริโภคได้จริง ให้คนไทยมีสำนึก ดื่มแต่พอประมาณ แต่ไม่ใช่ไปห้ามเขาทั้งหมด ไม่ให้เขาพูดถึงเลยมันเกินไปไหม? ทางสายกลางอยู่ที่ไหน?” ผศ.ดร.เจริญ ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี