การลงทุนสร้างเด็กไทยให้มีคุณภาพต้องเริ่มตั้งแต่แรกเกิด น่าดีใจที่การเลือกตั้งที่ผ่านมา สังคมไทยได้เห็นพรรคการเมืองชูนโยบายที่จะเข้ามาดูแลเด็กต่ำกว่า
3 ปี และผลักดันสิทธิลาคลอดให้ได้ 6 เดือน หรือสิทธิลาคลอด 180 วัน
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 เรื่องลาเพื่อคลอดบุตร มาตรา 41 กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกิน 98 วัน
“ช่วงเวลายังไม่เพียงพอสำหรับแม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน” นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เคยกล่าวยืนยันไว้ในงานประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 8 ซึ่งจัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้
การที่แม่ต้องกลับไปทำงานหลังใช้สิทธิลาคลอดหมดแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ตัดสินใจใช้นมผสมหรือให้อาหารอื่นทดแทนนมแม่ ยิ่งช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19
แพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เช่นกัน เพราะมีการแยกลูก แยกแม่หลังคลอด ทำให้ทารกเสียโอกาสในการเริ่มต้นกินนมแม่
อุปสรรคข้างต้น ทำให้สถานการณ์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งทำการสำรวจโดยองค์การยูนิเซฟ พบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของไทยอยู่ที่ 14% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว อยู่ที่ 44% กัมพูชา 66% มาเลเซีย 40% อินโดนีเซีย 51%
ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมสถานการณ์การให้นมแม่ของประเทศไทย ถึงไม่ดีขึ้น ทั้งๆ ที่โครงสร้างระบบสาธารณสุขของเรา ถือว่าดี เศรษฐกิจก็ดี คำถาม คืออะไร
อธิบดีกรมอนามัย วิเคราะห์ให้เห็นคำตอบของคำถามข้างต้นว่า การให้ความรู้และทักษะแก่แม่ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นในตนเองที่มีต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ การสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ก็ยังไม่สามารถสร้างความตื่นตัวทางสังคมในวงกว้างได้ อีกทั้งบุคลากรบางส่วนยังขาดทักษะดูแล ให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
สุดท้าย สถานพยาบาลบางแห่งยังไม่สามารถดำเนินงานตามแนวทางโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก (BFHI) ได้สำเร็จ
“การผ่าตัดคลอดโดยไม่จำเป็น บางโรงพยาบาล พบว่า แม่ผ่าตัดคลอดเกือบ 100% และกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่แยกแม่แยกลูกออกจากกัน หรือแม้การคลอดปกติก็แยกแม่แยกลูกเร็วเกินไป ทำให้การให้นมภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด ได้เสียโอกาสตรงนี้ไป” นพ.สุวรรณชัย ระบุ และว่า การดำเนินการทางนโยบาย จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายของประเทศไทยในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การผลักดันสิทธิลาคลอดแก่แม่ 180 วัน และตั้งเป้าปี 2568 ประเทศไทยต้องมีทารกร้อยละ 50 ได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน รวมไปถึงการมีอสม.ให้เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงนมแม่ด้วย
พัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 - ลงทุนกับเด็กให้ผลคุ้ม
ขณะที่พญ.ศิริพรกัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ชี้ว่า เคยมีการศึกษาที่พบว่าการลงทุนในการเลี้ยงดูเด็กในช่วงปฐมวัยหกขวบปีแรกจะมีผลตอบแทนถึง 6.7-17.6 เท่าของการลงทุนยิ่งลงทุนตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ยิ่งให้ผลคุ้มค่า และเมื่อเทียบระหว่างช่วงอายุ 3 ขวบปีแรก กับช่วงอายุ 4-5 ขวบ ช่วงอายุแรกจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ยังเน้นย้ำถึงการพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกประเทศให้ความสำคัญและมีการเตรียมตัว โดยเฉพาะการเตรียมตัวตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เด็กมีต้นทุนสุขภาพที่ดี ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถือเป็นขบวนการให้อาหารและการเลี้ยงดูที่เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต นอกเหนือจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้ว ต้องมีการดูแลที่ดีด้วย
“รัฐบาลไทยดูแลเด็กตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป มีให้รายหัว มีค่าอาหารกลางวัน มีงบประมาณให้ท้องถิ่นดูแลเด็ก แต่เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบลงมา ยังไม่มีการดูแลจากรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม”พญ.ศิริพร กล่าว และชี้ว่า วันนี้อัตราการเกิดของเด็กไทยน้อยลงทุกๆ วัน การไปถึงเป้าหมาย ทารกร้อยละ 50ได้กินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ระดับนโยบายต้องมีการผลักดันสิทธิลาคลอดให้ได้ 6 เดือน
ผ่าตัดคลอดไทยนำโด่ง กระทบแม่ให้นมบุตร
ด้าน ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ อดีตคณบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มองว่า การที่ไทยเสียแชมป์อัตราการให้นมแม่เหลือแค่ 14% การดำเนินการระดับนโยบายต้องไม่มีโรงพยาบาลไหนแยกลูก แยกแม่อีกต่อไป เพื่อให้ลูกได้รับนมแม่หลังคลอดภายใน 1 ชั่วโมงแรก ที่สำคัญต้องลดอัตราการผ่าคลอด (CESAREAN SECTION) ที่ไม่จำเป็นลงให้ได้ ปัจจุบันตัวเลขผ่าคลอดโดยไม่จำเป็นบรรดาแม่ไทยอยู่ที่ 50% ซึ่งต้องลดลงมาให้เหลือแค่ 20% ให้ได้
“เราต้องช่วยกันลดการผ่าตัดคลอดที่ไม่จำเป็น เพื่อให้นโยบายการส่งเสริมให้นมแม่อย่างเดียว 6 เดือนไม่ผสมน้ำ ทำสำเร็จ หรือหากแม่ผ่าตัดคลอด ก็ต้องหาวิธีให้แม่สามารถให้นมบุตรให้ได้” ศ.นพ.ภิเศก ระบุ
ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นแชมป์การผ่าตัดคลอดที่ไม่จำเป็น ล่าสุดจีนปรับทิศเริ่มมีนโยบายลดการผ่าตัดคลอดที่ไม่จำเป็นลงแล้ว ขณะที่ประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี ในการผ่าตัดคลอดที่ไม่จำเป็น เราสามารถนำเงินจำนวนนี้มาส่งเสริมการให้นมบุตร หรือทำอะไรๆ ได้อีกมากมาย
ที่ผ่านมา สสส.สนับสนุนให้เกิดสังคมที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเฉพาะการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่แม่ ครอบครัว พร้อมกับสร้างค่านิยมว่า นมแม่ เป็นสิทธิที่ลูกจะได้รับตั้งแต่แรกเกิด ส่งเสริมสถานประกอบการที่เอื้อกับแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน และการปั๊มนมเก็บให้ลูก รวมถึงการส่งเสริมพ่อช่วยแม่ แบ่งเบาภาระการเลี้ยงดูบุตร โดยเฉพาะช่วงการให้นมบุตร
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เป็นอีกคนหนึ่งที่สนับสนุนระยะเวลาที่เหมาะสมที่เด็กแรกเกิด ควรกินแต่นมแม่ คือ 180 วัน ปัจจุบันกฎหมายให้สิทธิลาคลอดได้ 98 วัน สสส. สนับสนุนให้เกิดการใช้สิทธิ์ลาคลอดได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้แม่ได้อยู่กับลูกได้นานที่สุด โดยรณรงค์ให้แม่เห็นความสำคัญ ให้สถานประกอบการจัดสถานที่ และภาครัฐจัดนโยบายไปช่วยเสริม ไม่ใช่ดูแค่เงินที่จะจ่ายเป็นเงินเดือน ต้องดูในแง่ผลิตภาพที่ดีขึ้น ประเทศชาติจะดีขึ้นจากเด็กไอคิวสูงขึ้นที่เป็นผลมาจากกินนมแม่
“เมื่อคำนวณผลได้จากเงินเดือนของแม่ที่ลาคลอดที่เสียไป ก็คุ้มค่า ประเด็นนี้ สสส. และภาคีที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันผลักดันต่อไปเพื่อให้เกิดขึ้นจริง” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี