เมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดเสวนาเรื่อง “ประวัติศาสตร์การสร้างชาติอินเดียและจีน : ข้อคิดสำหรับประเทศไทย” ซึ่งทั้ง2 ประเภท มีความคล้ายกันทั้งการมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เป็นชาติระดับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับต้นๆ ของโลก และมีประชากรหลักพันล้านคน โดยในสัปดาห์นี้จะเป็นเรื่องราวการสร้างชาติของอินเดีย ส่วนสัปดาห์ถัดไป (19 ส.ค. 2566) จะเป็นเรื่องของจีนตามลำดับ
เพชรดา ชุนอ่อน อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ฉายภาพอินเดียในยุคหลังประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในวันที่ 15 ส.ค. 2490 ซึ่งรัฐบาลอินเดียตั้งแต่ชุดแรกโดยนายกรัฐมนตรียวาหระลาล เนห์รู ต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่ 1.การรวมชาติกับรัฐมหาราชา (Princely State) ซึ่งในสมัยที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ มีการแบ่งพื้นที่เป็น 2 กลุ่ม คือพื้นที่ที่อังกฤษปกครองโดยตรง (British India) กับพื้นที่ที่อังกฤษปล่อยให้ผู้นำดั้งเดิมในท้องถิ่นนั้นปกครอง ซึ่งจำนวนพื้นที่กลุ่มหลังนี้นับรวมกันได้มากถึง 565 แคว้น
โดยในช่วงที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย รัฐหรือแคว้นกลุ่มดังกล่าวยินยอมสละอำนาจอธิปไตยด้านการทหาร การต่างประเทศ และการคมนาคมขนส่งให้กับอังกฤษ เพื่อแลกกับการที่ผู้นำไม่ถูกปลดจากตำแหน่ง ขณะที่ในช่วงที่มีกระแสชาวอินเดียเรียกร้องเอกราช ผู้นำรัฐหรือแคว้นเหล่านี้ก็ไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวด้วย เพราะกลุ่มเรียกร้องเอกราชมีจุดยืนชัดเจนว่าต้องการสร้างประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงรอดูท่าทีว่าจะส่งผลกระทบมาก-น้อยเพียงใดกับสถานะของผู้ปกครองดั้งเดิม
ซึ่งวิธีแก้ปัญหาคือการเจรจากับผู้ปกครองแคว้นต่างๆ โดยรัฐบาลอินเดียจะจ่ายเงินรายปีให้แลกกับการยอมสละอำนาจ และผู้ปกครองแคว้นส่วนใหญ่ยินยอม ยกเว้น
3 แคว้น คือ จูนาคัฒ (Junagadh-ปัจจุบันอยู่ในรัฐคุชราต) ไฮเดอราบัด (Hyderabad-ปัจจุบันอยู่ในรัฐเตลังคานา) และแคชเมียร์ 2 แคว้นแรกเหมือนกันตรงที่ผู้ปกครองนับถือศาสนาอิสลามส่วนประชาชนนับถือศาสนาฮินดู จึงเกิดความขัดแย้งเพราะผู้ปกครองต้องการนำแคว้นไปรวมกับประเทศปากีสถาน ทำให้อินเดียใช้โอกาสที่ส่งทหารเข้าไปรักษาความสงบจัดระเบียบการปกครองใหม่ไปพร้อมกัน
“แคชเมียร์จะแตกต่างกับอีก 2 แคว้น มหาราชาแห่งแคชเมียร์เป็นฮินดูแต่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ในขณะที่จูนาคัฒกับไฮเดอราบัด รัฐบาลสามารถจัดการได้ใน 1 ปี แต่แคชเมียร์ลากยาวมา คือไม่ตัดสินใจสักที ถ้าดูแผนที่ ที่ตั้งของแคชเมียร์มันติดทั้งปากีสถานและอินเดีย แล้วยังติดจีนด้วย คือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ฉะนั้นเขาก็ต้องตัดสินใจยากว่าจะอย่างไร มหาราชาก็ไม่ตัดสินใจปากีสถานก็อยากได้ อินเดียก็อยากได้
ลอร์ดเมานต์แบ็ตเทน (อดีตผู้ปกครองอินเดียในยุคอาณานิคมอังกฤษ) ไปเจรจา คานธีไปเจรจา ก็ไม่ตัดสินใจสักที จนสุดท้ายมาตัดสินใจรวมกับอินเดียได้คือเกิดเหตุ
กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาโจมตีถึงได้ยอมขอความช่วยเหลือมา ทางอินเดียก็รวมไปได้ แต่ก็มีปัญหา ซึ่งความขัดแย้งในแคชเมียร์ที่เกิดขึ้นต่อมาหลังจากที่รวมชาติกันได้แล้ว มันจะไปเกี่ยวข้องมากกับความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถาน อินเดียกับปากีสถานทำสงครามกัน 4 ครั้ง 3 ครั้ง เป็นความขัดแย้งในแคชเมียร์” อาจารย์เพชรดา กล่าว
2.การประนีประนอมกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วรรณะ ภาษา อินเดียยังมีความเชื่อเรื่องวรรณะอย่างเข้มข้น โดยแบ่งวรรณะจากสูงสุดถึงต่ำสุด เป็น 4 กลุ่มหลัก คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “จัณฑาล” ซึ่งเป็นลูกของคนที่เกิดจากพ่อแม่ที่แต่งงานข้ามวรรณะ โดยจัณฑาลเป็นกลุ่มคนนอกวรรณะและถูกเหยียด (Discriminate) มากที่สุดในสังคมอินเดีย การใช้ชีวิตประจำวัน ดื่มน้ำ-รับประทานอาหารต้องแยกจากคนอื่นๆ ทั้งหมด เรียนหนังสือก็ต้องนั่งกับพื้นไม่สามารถนั่งโต๊ะ-เก้าอี้
อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์อินเดียก็มีบุคคลสำคัญที่มาจากจัณฑาล คือ ภีมราว รามชี อัมเบดการ์ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญอินเดีย โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ มีเพียงการปรับแก้ให้เข้ากับยุคสมัยเท่านั้น ทั้งนี้ อัมเบดการ์ได้รับการช่วยเหลือจากอาจารย์ท่านหนึ่งให้เปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากในสังคมอินเดียนามสกุลจะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าบุคคลนั้นมาจากวรรณะใด โดยอัมเบดการ์เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มุมไบ จากนั้นไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา
“สิ่งที่น่าสนใจคือคนอาจจะไม่ค่อยทราบกัน อัมเบดการ์มีข้อคิดเรื่องวรรณะที่ขัดแย้งกับมหาตมะ คานธี ซึ่งภูมิหลังไม่เหมือนกัน คานธีเกิดในวรรณะแพศย์ที่มีฐานะค่อนข้างดี คานธีไปเผชิญประสบการณ์การโดนเหยียดครั้งแรกตอนที่เขาไปทำงานที่แอฟริกา ตอนอยู่ในอินเดียไม่ได้โดนอะไร แต่อัมเบดการ์เขาโดนเหยียดมาตั้งแต่เกิด ฉะนั้นในขณะที่คานธีบอกเปลี่ยนไม่ให้เรียกดาลิต (คำเรียกจัณฑาลในอินเดีย) ให้เรียกว่าหริชน (หะ-หริ-ชน) เป็นคนของพระเจ้า แต่อัมเบดการ์บอกว่าแค่เปลี่ยนชื่อไม่ช่วยอะไรตราบใดที่ยังมีวรรณะคานธีบอกว่าวรรณะไม่สำคัญ คนเราต้องมีเมตตา แต่อัมเบดการ์มีคำพูดว่ามหาตมะมาแล้วก็ไป แต่วรรณะคนโดนเหยียดตลอดไป” อาจารย์เพชรดา ระบุ
เพื่อบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลาย อินเดียเลือกใช้วิธีแบ่งการปกครองเป็นแบบรัฐบาลกลาง ดินแดนที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง และดินแดนที่มีรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งอินเดียก็มีความขัดแย้งอยู่เป็นระยะๆ ดังเมื่อเร็วๆ นี้ ที่เกิดความขัดแย้งในภูมิภาคจัมมู-แคชเมียร์ เมื่อชาวลาดักที่มีวัฒนธรรมอิงกับศาสนาพุทธนิกายวัชรยานของทิเบต สนับสนุนนโยบายขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง เพราะหวังให้มีนายทุนจากภายนอกเข้ามาลงทุนพัฒนาพื้นที่ แต่ชาวมุสลิมกลัวว่าจะมีนายทุนชาวฮินดูเข้ามากว้านซื้อที่ดิน และพวกตนจะถูกชาวฮินดูอินเดียกลืนอัตลักษณ์ไป
หรือกรณีรัฐธรรมนูญอินเดียกำหนดให้ใช้ภาษาฮินดีเป็นภาษาทางการโดยให้เหตุผลว่ามีสัดส่วนประชากรที่ใช้ภาษานี้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงทั่วประเทศอินเดียมีภาษาที่ใช้กันในท้องถิ่นต่างๆ มากกว่า 1,000 ภาษา ทำให้มีเสียงต่อต้านจากประชาชนในรัฐที่ไม่ได้ใช้ภาษาฮินดี โดยเฉพาะรัฐทมิฬนาดูทางใต้ ซึ่งถือว่ามีภาษาและวัฒนธรรมแยกมาจากอินเดียตอนเหนือ จนในที่สุดรัฐบาลกลางอินเดียแก้ปัญหาด้วยการแบ่งเป็น 2 ส่วน คือใช้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ และใช้ภาษาถิ่นเป็นภาษาของแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีอยู่หลักๆ ราว 22 ภาษา
รวมถึงแม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วรรณะหรือถิ่นกำเนิด โดยอินเดียแบ่งประชากรเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.Forward Castes ฐานทางเศรษฐกิจระดับชนชั้นกลางถึงสูง ซึ่งมีทุกวรรณะและศาสนา กลุ่มนี้คิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรทั้งประเทศ 2.Other Backward Classes ฐานทางเศรษฐกิจระดับชนชั้นล่าง ซึ่งรวมทุกวรรณและศาสนาเช่นเดียวกับกลุ่มแรก คิดเป็นร้อยละ 41 ของประชากรทั้งประเทศ
3.Scheduled Castes คือพวกดาลิตหรือจัณฑาลซึ่งถูกเหยียดอย่างหนักในสังคมอินเดีย กลุ่มนี้มีอยู่ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และ 4.Scheduled Tribes หรือกลุ่มชนเผ่า ซึ่งอยู่ร้อยละ 9 ของประชากรทั้งประเทศ ประสบปัญหาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 3 โดยรัฐบาลอินเดียให้โควตาพิเศษในการศึกษาในมหาวิทยาลัยและการทำงานในหน่วยงานภาครัฐกับประชากรกลุ่มที่ 3 และ 4 ซึ่งก็มีคำถามเช่นกันว่านโยบายแบบนี้แก้ปัญหาหรือยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำและการเหยียด เพราะเหมือนเป็นการตีตราไปแล้วในการกรอกเอกสารสมัครเรียน-สมัครงาน
3.ปัญหาเศรษฐกิจ การมีประชากรมากระดับพันล้านคนไม่ใช่เรื่องง่ายในการขับเคลื่อนให้ไปข้างหน้าแบบทุกคนไปด้วยกันได้ ในยุคแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจอินเดียได้รับอิทธิพลจากสหภาพโซเวียต โดยใช้แนวทางสังคมนิยมประชาธิปไตย ที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่บริหารจัดการโดยรัฐ ซึ่งเศรษฐกิจก็ไม่ได้ขยายตัวเท่าที่ควร กระทั่งในทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542) สหภาพโซเวียตล่มสลาย ฝ่ายสังคมนิยมอ่อนแรงลง อินเดียหันไปใช้ระบบทุนนิยมเสรี ทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดจนอยู่ในอันดับ 6 ของโลก แต่ก็แลกมาด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น
ทั้งนี้ การที่มีประชากรมากแม้จะเป็นจุดอ่อนคือเกลี่ยประโยชน์หรือความเจริญของการพัฒนาให้ทั่วถึงได้ยาก แต่จุดแข็งคือมีแรงงานจำนวนมาก สำหรับความพยายามของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอย่าง นเรนทรา โมดี ซึ่งวางเป้าหมายให้อินเดียเป็นทั้งสำนักงานและโรงงานของโลก เนื่องจากอินเดียมีแรงงานทุกประเภทตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงทักษะสูงโดยเฉพาะด้านคอมพิวเตอร์ จึงส่งเสริมให้เกิดการลงทุนโดยเฉพาะจากต่างชาติ ซึ่งเชื่อว่ายิ่งมีการลงทุนมากอัตราการว่างงานก็จะยิ่งลดลง
“ถามว่าสำเร็จไหม? มันก็ยังสรุปไม่ได้ตอนนี้ แต่เขาก็มีการทำนายทายทักกันอยู่ทางสายเศรษฐศาสตร์ คือปัจจุบันอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียค่อนข้างดีถ้าหมายถึงเชิงตัวเลขนะ ถ้าอินเดียยังคงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ในอนาคตภายในปี 2030 (2573) โลกมันจะเหวี่ยงกลับมาที่ตะวันออกตอนนี้สหรัฐฯ ที่ 1 จีนที่ 2 ต่อไปจีนจะขึ้นไปเป็นที่ 1 แล้วอินเดียจะกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3” อาจารย์เพชรดา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี