“เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เป็นสวัสดิการที่รัฐไทยเริ่มจัดให้กับประชาชนวัยเกษียณ หรืออายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยเริ่มต้นขึ้นในปี 2536 ในเวลานั้นจ่ายให้เดือนละ 200 บาท และเฉพาะผู้สูงอายุในครัวเรือนยากจน กระทั่งในปี 2552 มีการเปลี่ยนมาจ่ายแบบ “สวัสดิการถ้วนหน้า” โดยจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีสัญชาติไทยทุกคน (ยกเว้นผู้สูงอายุที่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับบำนาญ) และปรับขึ้นเป็น 500 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา มีประเด็น “ดราม่า” เกิดขึ้นกับเรื่องนี้สืบเนื่องจากวันที่ 14 ก.ค. 2566 รายงานข่าวจากสื่อหลายสำนัก ระบุว่า กฤษฎา จีนะวิจารณะปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงหนึ่งในแผนการตัดรายจ่าย เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว คือ “การตัดงบผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย” เพราะงบประมาณที่จ่ายให้ไปนั้นอาจจะไม่มีความจำเป็น
โดยแผนดังกล่าว ถือเป็นการ“ใช้นโยบายการคลังที่พุ่งเป้าเพื่อช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่มีความเดือดร้อนมากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป” โดยงบประมาณสำหรับจ่ายให้ผู้สูงอายุเป็นรายเดือนนั้น ได้ปรับสูงขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาทต่อปีจากก่อนหน้าอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีการประเมินว่า หากตัดงบประมาณเพื่อจ่ายผู้สูงอายุที่ร่ำรวยออกไป จะช่วยลดงบได้ถึงครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อความเห็นดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวและถูกส่งต่อบนโลกออนไลน์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็ตามมา กระทั่งเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2566 เว็บไซต์ thaigov.go.thซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารของรัฐบาลไทย ชี้แจงว่าประเด็นที่มีข่าวลือและส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์ว่า กระทรวงการคลังจะมีการเสนอตัดสิทธิเบี้ยยังชีพของประชาชนนั้น “กระทรวงการคลังไม่ได้มีแนวคิดที่จะตัดสิทธิดังกล่าวเนื่องจากทราบดีว่าจะส่งผลกระทบและเป็นการซ้ำเติมประชาชน” ทั้งนี้ ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการตีความที่คลาดเคลื่อน
“แนวคิดที่มีการเสนอให้ทบทวนผู้ได้รับสิทธิเบี้ยคนชรา เฉพาะในกลุ่มที่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวย และไม่ได้มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเบี้ยคนชราในการดำรงชีพ เพื่อนำเงินส่วนต่างที่จะได้มาช่วยเหลืประชาชนผู้มีรายได้น้อยนั้น เป็นเพียงข้อเสนอในเชิงวิชาการที่มีการเสนอเป็นการภายในเท่านั้น หากจะมีการดำเนินการในอนาคต จะต้องมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยหรือมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาล” (กระทรวงการคลังชี้แจงผ่านเว็บไซต์ thaigov.go.th วันที่ 8 ส.ค. 2566)
ถึงกระนั้น เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566 เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม นำกลุ่มผู้สูงอายุที่กังวลใจ ไปรวมตัวกันที่กระทรวงการคลัง เพื่อแสดงจุดยืน “คัดค้านการปรับลดรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เฉพาะคนจน” โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ “กระบวนการพิสูจน์ความยากจนทำให้เกิดการตกหล่นจำนวนมาก” ขณะที่หากใช้วิธีจ่ายเฉพาะผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีอยู่ราว 5 ล้านคน จะทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพราว 11 ล้านคนถูกตัดสิทธิไปกว่า 6 ล้านคน
นั่นคือข้อเรียกร้อง ณ ปัจจุบัน ที่อย่างน้อยต้องไม่ถอยหลังกลับไปจากเดิม โดยหลังจากเมื่อปี 2552 ที่รัฐไทยเปลี่ยนการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากระบบสงเคราะห์เฉพาะคนจนมาเป็นการจ่ายถ้วนหน้า และเพิ่มจากเดือนละ 200 เป็น 500 บาทแล้ว ในปี 2554 ยังได้ปรับมาเป็นการจ่ายแบบขั้นบันได แบ่งเป็น อายุ 60-69 ปี ได้รับเดือนละ 600 บาท อายุ 70-79 ปี ได้รับเดือนละ 700 บาท อายุ 80-89 ปีได้รับเดือนละ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเดือนละ 1,000 บาทแต่ในระยะยาว “การปรับจำนวนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้สูงกว่าเส้นความยากจน” เป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุไทยยังต้องรอ
ในมุมของภาคประชาชน มีการเรียกร้องกันเสมอมาว่า “ขอให้เพิ่มการจ่ายเป็น 3,000 บาทต่อเดือน” โดยอ้างอิงจาก “เส้นแบ่งความยากจน” ซึ่งนิยามของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ณ ปี 2564 ระบุอยู่ที่ 2,803 บาทต่อเดือน หมายถึงผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่านี้ถือว่าอยู่ใต้เส้นความยากจน โดยให้เหตุผลว่า การเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะได้ประโยชน์ เนื่องจากเป็นการลดภาระของคนวัยทำงานในการต้องเจียดรายได้ส่วนหนึ่งไปเลี้ยงดูบุพการีที่แก่ชรา ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพจิต (ความเครียด) และเศรษฐกิจในครัวเรือน (ไม่สามารถเก็บออมหรือนำเงินไปลงทุนเพิ่มศักยภาพการทำงานให้ตนเอง)
แต่ในมุมของภาครัฐ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า “รายจ่ายผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนของผู้สูงอายุที่มากขึ้น” ดังที่นักวิชาการบางท่านใช้คำว่า “สึนามิประชากร” เปรียบเทียบจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากยุค “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” (เช่น ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ช่วงปี 2506-2526 มีเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน ขณะที่ปี 2563-2564 มีเด็กเกิดใหม่เพียงราวๆ 5 แสนคน และเป็นการลดลงมาอย่างต่อเนื่องจากหลักล้านสู่หลักแสนตลอดหลายปีที่ผ่านมา) เหมือนคลื่นยักษ์ที่ถาโถมซัดเข้าฝั่งและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง
อนึ่ง ย้อนไปในปี 2564 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร (ในขณะนั้น) ได้เผยแพร่ “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ” โดยมีข้อเสนอ อาทิ 1.จำนวนเงินที่จ่ายควรมีอัตราไม่ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจน โดยอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในปีก่อนจ่าย อีกทั้งให้มีการศึกษาเพื่อปรับปรุงอัตราการจ่ายทุก 3 ปี 2.เสนอให้ตั้ง “กองทุนผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ” มีฐานะเป็นนิติบุคคล
เพื่อให้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง ส่งเสริมสนับสนุน และจัดสวัสดิการบำนาญพื้นฐานสมทบงบประมาณประจำปีสำหรับจ่ายบำนาญพื้นฐานให้แก่ผู้สูงอายุ รวมทั้งใช้จ่ายในการบริหารจัดการกองทุน 3.รัฐยังมีแหล่งรายได้ที่สามารถนำมาสนับสนุน เช่น ภาษีสรรพสามิต (เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ ยานยนต์ เชื้อเพลิง) รายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนแบ่งค่าสัมปทาน-ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต-ค่าภาคหลวงจากกิจการบางประเภท (วิทยุ-โทรทัศน์ โทรคมนาคม แร่ การพนัน ปิโตรเลียม) เป็นต้น
สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชุดปัจจุบันที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 พบจำนวน 206 คน มาจากหลายพรรคที่เคยหาเสียงเรื่องนโยบายบำนาญพื้นฐาน (หรือเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) ไว้ที่อย่างน้อย 3,000 บาทต่อเดือน อาทิ “พรรคก้าวไกล” มี สส. 151 คน , “พรรคไทยสร้างไทย” มี สส. 6 คน ,
“พรรคประชาชาติ” มี สส. 9 คน และ “พรรคพลังประชารัฐ” มี สส. 40 คน (สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เสนอให้จ่ายแบบขั้นบันได อายุ 60-69 ปี เดือนละ 3,000 บาท อายุ 70-79 ปี เดือนละ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไป เดือนละ 5,000 บาท) ดังนั้นประชาชน (ทั้งผู้สูงอายุและลูกหลาน) ต้องรอลุ้นกันว่า ผู้แทนปวงชนชาวไทยชุดนี้จะผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่?
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ” ฉบับเต็มได้ที่ https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/588480
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี