“การเมืองที่แบ่งข้างแบ่งขั้วสุดๆ (Polarized) เปลืองพลังไปกับความขัดแย้งมาก เหลือพลังสร้างสรรค์น้อยและเคลื่อนไม่ได้ไกล เพราะโดนขั้วตรงข้ามจับสกัดไว้” วิธีคิดแยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้ว และเป็นปฏิปักษ์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่วิธีคิดทางวิทยาศาสตร์ไปเพิ่มให้มากขึ้น เพราะหลักการทางวิทยาศาสตร์เน้นที่การวัดได้ แม่นยำ และทำซ้ำได้เหมือนเดิม การจะวัดได้แม่นยำก็ต้องจับให้มันนิ่งตายตัว ความตายตัวทำให้แยกส่วนแบ่งข้างแบ่งขั้ว ฝรั่งตะวันตกจึงคิดแบบนี้อย่างเข้มทำให้ขัดแย้งรุนแรง ลองดูประวัติศาสตร์ยุโรปที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและสงคราม
“พระพุทธองค์สอนเรื่องทางสายกลางที่มองว่าธรรมชาติเป็นอนิจจังไม่ตายตัว เป็นไปตามเหตุตามผลหรือเหตุปัจจัย จึงไม่สุดโต่ง ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้ว”เป็นทางสายปัญญา ความรักความเมตตา และความร่วมมือ หลักการออกจากวิกฤต คือ พลิกวิธีคิด การเมืองไทยติดอยู่ในสภาวะวิกฤตมาตั้ง 100 ปี ทำอย่างไรๆ ก็จะออกจากวิกฤตไม่ได้ ถ้าพลิกวิธีคิดจากการเมืองแบ่งข้างแบ่งขั้ว เป็นการเมืองทางสายกลาง ก็จะก้าวข้ามความแตกแยก เมื่อใดคนไทยก้าวข้ามความแตกแยกได้ จะก้าวไกลสู่อนาคตอันงดงาม เพราะมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนามากมายหลายประเภท
“รัฐบาลใหม่ควรทำอะไร” 1.รับฟังข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นของคนทั้งประเทศ ว่าประเทศไทยมีประเด็นใหญ่อะไรบ้าง (Thailand Big Issues) สมมติว่าเมื่อวิเคราะห์สังเคราะห์แล้วได้ 25 ประเด็น 2.หานักวิชาการทางนโยบายที่มีความสามารถสูง มาสังเคราะห์ให้เป็นนโยบายสาธารณะ 25 เรื่อง 3.สื่อสารนโยบายสาธารณะ 25 เรื่อง ให้คนไทยรับรู้อย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน คนไทยไม่เคยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เมื่อใดมีความมุ่งมั่นร่วมกันก็จะเกิดพลังร่วมประดุจแสงเลเซอร์
4.จัดตั้งกลุ่มขับเคลื่อนระบบนโยบายที่มีสมรรถนะสูง 25 กลุ่ม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทั้ง 25 เรื่อง อย่างเป็นระบบครบวงจรสู่ความสำเร็จ ถ้าครบวงจร
ก็จะสำเร็จทุกเรื่องไม่มีทางไม่สำเร็จ จึงเรียกวิธีนี้ว่า สัมฤทธิศาสตร์ (Delivery Science) 5.เมื่อนโยบายสาธารณะประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ประเทศไทยก็จะกลายเป็นแผ่นดินศานติสุข ที่มีการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมและงดงาม
6.กระบวนการที่กล่าวนี้เรียกว่า Participatory Public Policy Process หรือ P4 กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ที่คนไทยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในเรื่องที่เป็นปัญญาสูงสุดของชาติไปสู่ความสำเร็จ และมีส่วนร่วมในการได้รับผลสำเร็จอย่างเป็นธรรม จึงเป็นประชาธิปไตยโดยสาระอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงกลไกไปสู่อำนาจ และ 7.เมื่อคนไทยได้ผ่านการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ ในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ความสำเร็จ ก็จะรักกันมาก เชื่อถือไว้วางใจกัน เกิดปัญญาร่วม (Collective wisdom) และมีความปิติสุขประดุจบรรลุนิพพาน
“โลกทัศน์ ความรู้สึกนึกคิด และจิตสำนึกใหม่” ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้จะเป็นพลังมหาศาล ไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้อีกต่อไป การเมืองทางสายกลางมีอานิสงส์ถึงเพียงนี้ จากพลิกโฉมประเทศไทยภายใน 4 ปี ตามวาระของรัฐบาลใหม่!!!
ศ.(เกียรติคุณ)นพ.ประเวศ วะสี
‘ราษฎรอาวุโส’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี