“มันมีแนวคิดเรื่องการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงหลายครั้ง หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Poly-victimization ซึ่งแนวคิดนี้มีกรอบที่ว่าเด็กที่ถูกพ่อแม่ผู้ปกครองกระทำความรุนแรงทางกายกับเขามันจะเกิดบาดแผลในใจเขา เขาก็จะเกิดพฤติกรรมต่อต้าน คือความดื้อรั้น ก้าวร้าว เมื่อเกิดแบบนี้พ่อแม่ก็จะเกิดความทุกข์ใจ ก็จะใช้ความรุนแรงอีกครั้งเพื่อกำราบเด็กให้ลดความก้าวร้าวดื้อรั้นลง แล้วมันก็จะเกิด Loop (วงจร) ขึ้นมาอีกว่าเด็กก็จะมีบาดแผลซ้ำซาก เด็กคนนั้นก็เลยจะเติบโตขึ้นมาแบบมีบาดแผลในใจ อาจจะกลายเป็นเหยื่ออีกครั้งและเป็นผู้กระทำความรุนแรงด้วย”
รศ.ดร.อุมาภรณ์ ภัทรวาณิชย์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงทางกายต่อเด็กอย่างต่อเนื่อง” ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 17 “ประชากรและสังคม 2566” หลากมิติ ในหนึ่งชั่วชีวิต ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ในระยะยาวเด็กที่ได้เผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว มีแนวโน้มที่เมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากไม่เป็นเหยื่อก็มักจะกลายเป็นผู้ใช้ความรุนแรงเสียเอง
มีงานวิจัยพบ 3 กลุ่มซึ่งเกี่ยวข้องกับครอบครัว ได้แก่ 1.การอยู่อาศัยของพ่อแม่ ความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูก และการที่ลูกพบเห็นความรุนแรงของพ่อแม่ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กอาจตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงได้ 2.ความเชื่อในการอบรมสั่งสอน เช่น ในสังคมไทยมีสำนวน “รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี” ก็เป็นปัจจัยที่มีผลเช่นกัน และ 3.ปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เกิดการกระทำความรุนแรง เช่น ความยากจน ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาความเครียดในครอบครัว
สำหรับชุดข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ 1.โครงการผลกระทบของการย้ายถิ่นภายในประเทศที่มีผลต่อชีวิตวัยเด็ก สำรวจปี 2556-2557 กลุ่มตัวอย่าง 1,080 ครัวเรือน ใน 2 จังหวัด (ขอนแก่นและพิษณุโลก) โดยกลุ่มตัวอย่างต้องเป็นครัวเรือนที่มีเด็กตั้งแต่แรกเกิด-อายุ 3 ปี กับ 2.โครงการผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19ที่มีต่อเด็กและครอบครัว สำรวจระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-17 พ.ค. 2563 ด้วยวิธีการสอบถามและติดตามผลทางโทรศัพท์ กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 854 ครัวเรือน ซึ่งเด็กจากครัวเรือนในการสำรวจครั้งแรก จะมีอายุ 7-10 ขวบ ในการสำรวจครั้งที่ 2
ในประเด็นคำถามเรื่องความรุนแรง การสำรวจครั้งแรกมีการถามคำถามกับผู้ดูแลเด็กเฉพาะครัวเรือนที่มีเด็กตั้งแต่อายุ 24 เดือน(2 ขวบ) ขึ้นไป ทำให้กลายเป็นข้อจำกัดเพราะในการสำรวจครั้งที่ 2 จะเป็นการถามกลุ่มตัวอย่างเดิม ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยถูกถามในการสำรวจครั้งแรกก็จะถูกตัดออกไปในการสำรวจครั้งที่ 2 ด้วย ท้ายที่สุดจาก 854 ครัวเรือน จึงเหลือกลุ่มตัวอย่างที่นำมาสรุปผลได้เพียง 327 ครัวเรือนเท่านั้น ความรุนแรงจากการสำรวจนี้มี 2 ด้าน คือ 1.ทางร่างกาย คือการตีหรือการทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ กับ 2.ทางจิตใจ การดุด่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
ส่วน “ความต่อเนื่อง” นั้นหมายถึงครัวเรือนที่สำรวจครั้งแรกพบการใช้ความรุนแรงต่อเด็กแล้วยังพบเช่นเดิมในการสำรวจครั้งที่ 2 ซึ่งพบว่า มีถึงร้อยละ 37 หรือกว่า 1 ใน 3 หรือ 122 ครัวเรือน ที่พบการใช้ความรุนแรงต่อเด็กอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกร้อยละ 33 หรือราว 1 ใน 3 เปลี่ยนจากการใช้ความรุนแรงทางกายมาเป็นความรุนแรงทางใจแทน และร้อยละ 15 ในการสำรวจครั้งแรกเคยใช้ความรุนแรงทางกาย แต่ในครั้งที่ 2 ก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงใดๆ อีก ทั้งนี้ผู้สูงอายุ (ปู่ย่าตายาย) เป็นผู้ดูแลเด็กมากที่สุด โดยพบถึงร้อยละ 54.1 ของกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ
“ความเชื่อเรื่องการตีเป็นวิธีที่เหมาะสม พบว่าครึ่งต่อครึ่งเลย ครึ่งหนึ่งถ้ารวมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับเห็นด้วยเข้าด้วยกันก็ประมาณ 50% ครึ่งต่อครึ่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ส่วนเรื่องรายได้ ในเวฟที่ 1 มันมีข้อมูลคะแนนทรัพย์สินในครัวเรือนอันหนึ่งเป็นตัววัด ซึ่งมันอยู่เวฟที่ 1 แต่เวฟที่ 2 เราไม่ได้เก็บ เวฟที่ 1 เราก็เอาคะแนนทรัพย์สินในครัวเรือนมาวิเคราะห์แล้วก็พบว่าส่วนใหญ่ 62% อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเวฟที่ 2 เรื่องรายได้ เราก็มีคำถามเปรียบเทียบก่อนโควิดเพราะช่วงนั้นเป็นโควิด พบว่าส่วนใหญ่ก็รายได้ลดลง” รศ.ดร.อุมาภรณ์ ระบุ
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลตามเพศ พบว่า “เด็กชายมีโอกาสเผชิญความรุนแรงทางกายมากกว่าเด็กหญิง” ซึ่งก็มีการศึกษาที่พบว่า “การเลี้ยงเด็กผู้ชายยึดอยู่กับความคิดเรื่องความเข้มแข็ง นำไปสู่การลงโทษที่รุนแรงกว่าเด็กผู้หญิงเพราะต้องการให้เติบโตเป็นคนที่เข้มแข็ง” เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงที่ความรุนแรงอาจเป็นเพียงการใช้คำพูดดุด่า อนึ่ง “แม่เป็นบุคคลที่เป็นตัวแปรของความรุนแรงต่อลูก” ตามการเปรียบเทียบผลสำรวจทั้ง 2 ครั้ง พบครัวเรือนที่ครั้งแรกแม่อยู่กับลูกแต่ครั้งที่ 2 ไม่ได้อยู่กับลูกความรุนแรงจะลดลง แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงแบบนี้ในกรณีของพ่อ
ซึ่งเรื่องนี้มีคำอธิบายว่า “หน้าที่ของความเป็นแม่ในครัวเรือนนั้นค่อนข้างหนักและใช้ความอดทนสูงมาก” ไหนจะต้องอบรมสั่งสอนลูก ทำงานบ้านและออกไปหารายได้นอกบ้าน ขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ พบว่า “ครัวเรือนที่เศรษฐกิจดีความรุนแรงต่อเด็กจะลดลง” สุดท้ายคือเรื่องความเชื่อตามสำนวนรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เป็นปัจจัยสำคัญต่อความรุนแรงทางกายกับเด็ก
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1.แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หน่วยงานรัฐควรเข้าไปช่วยเหลือเรื่องการเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือนยากจนมากขึ้น เพราะจะทำให้ผู้ปกครองโดยเฉพาะแม่ลดความเครียดจากบทบาทหน้าที่ทั้งในและนอกบ้านของตนได้ กับ 2.ปรับทัศนคติสังคม หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการพัฒนามนุษย์ทั้งรัฐและเอกชน ควรรณรงค์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองลดทัศนคติเรื่องรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี โดยชี้ให้เห็นผลกระทบต่อเด็กในอนาคต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี