“มลภาวะทางอากาศ” โดยเฉพาะ “ฝุ่น PM2.5” เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทในปี 2566 มีปัญหาความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ดังนั้นเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้ลดลง การมีฐานข้อมูลบัญชีการระบายมลพิษ เพื่อค้นหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของฝุ่น จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนนโยบายเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา
คณะนักวิจัยจาก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นำโดย รศ.ดร.สาวิตรี การีเวทย์ จึงได้ดำเนินโครงการ “การจัดทำแนวทางการจัดการฝุ่น PM2.5 โดยการวิจัยการเกิดอนุภาคทุติยภูมิ จากการใช้ระบบแบบจำลองการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคกลาง” ขึ้น เพื่อศึกษาแหล่งกำเนิดและกลไกของการเกิด PM2.5 ทุติยภูมิ (Secondary Aerosol Precursors) รวมถึงจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
โครงการดังกล่าวซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นั้น รศ.ดร.สาวิตรี กล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสุขภาพของคนในพื้นที่ เป็นสาเหตุให้มีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอด และโรคปอดเฉียบพลันในเด็กเล็กเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ “ฝุ่น PM2.5 นอกจากจะมาจากการปล่อยโดยตรงจากแหล่งกำเนิด” เช่น การเผาในที่โล่ง ฝุ่นละอองจากรถยนต์ ซึ่งเรียกว่า “ฝุ่นแบบปฐมภูมิ” แล้ว ยังมี “ฝุ่นแบบทุติยภูมิ” ที่หมายถึง “การรวมตัวกันของสารตั้งต้น (Precursors) เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แอมโมเนีย และ NMVOC กับสารอื่นๆ ผ่านปฏิกิริยาเคมีในอากาศ” อีกด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีทั้งบัญชีการระบายทั้งของฝุ่น PM2.5 ปฐมภูมิและของสารตั้งต้นที่ก่อให้เกิด PM2.5 ทุติยภูมิ เพื่อนำเข้าระบบแบบจำลองการจัดการคุณภาพอากาศ ก่อนใช้ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหา
รศ.ดร.สาวิตรี กล่าวต่อไปว่า แม้การวิจัยในโครงการนี้จะจำกัดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่การทำงานจริงจำเป็นต้องเก็บข้อมูลจากพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพราะอากาศไม่มีอาณาเขต การเกิดมลภาวะทางอากาศของพื้นที่อื่นๆ ก็ส่งผลต่อมลภาวะทางอากาศของกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ ซึ่งจากการวิจัยพบว่า สัดส่วนระหว่าง PM2.5 ปฐมภูมิ และ PM2.5 ทุติยภูมิอยู่ที่ 70:30 โดยในภาพรวมของประเทศไทยแหล่งกำเนิด PM2.5 มาจากการเผาชีวมวลในที่โล่งในพื้นที่การเกษตรเป็นอันดับ 1
รองลงมาจะเป็นการเผาฟืน/ถ่านไม้เพื่อหุงต้มในภาคครัวเรือน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนขนาดเล็ก การผลิตซีเมนต์ และการจราจร ตามลำดับ ขณะที่ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แหล่งกำเนิด PM2.5 ปฐมภูมิมาจากการจราจรเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจากรถบรรทุกขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ รถเมล์ รถยนต์ส่วนบุคคล การเผาไหม้
ในอุตสาหกรรมจากจังหวัดโดยรอบ เช่น จังหวัดนครปฐม และสมุทรสาคร ส่วนฝุ่น PM2.5 ปฐมภูมิที่เกิดจากพื้นที่ภาคกลางจะมีต้นกำเนิดจากการเผาในที่โล่งในพื้นที่การเกษตร และการผลิตซีเมนต์
“แต่จะสังเกตได้ว่าในช่วงที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและภาคกลางได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในรอบปี จะเป็นช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นผลมาจากทั้งการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่มวลอากาศมีการเคลื่อนตัวโดยความเร็วต่ำ รวมถึงเป็นช่วงที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เข้าสู่ช่วงเตรียมพื้นที่เพื่อการทำเกษตรรอบใหม่ จึงมีการเผาในที่โล่งในจำนวนมากขึ้น รวมถึงการเกิดไฟป่าในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณมลพิษในอากาศสูงขึ้นอย่างมากและส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล” รศ.ดร.สาวิตรี ระบุ
รศ.ดร.สาวิตรี ให้ความเห็นว่า หากมองเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเห็นว่าสาเหตุหลักของ PM2.5 ปฐมภูมิจะมาจากภาคการจราจรและภาคการขนส่ง ดังนั้นหากประเทศไทยสามารถดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลตั้งไว้ คือการใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่เริ่มต้นในวันที่ 1 ม.ค. 2567 จะสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ปฐมภูมิได้กว่าร้อยละ 10 ภายในปี 2573 และเมื่อรวมปัจจัยของการใช้รถ EV ที่มีปริมาณมากขึ้นทุกปี ก็จะช่วยลดปริมาณมลพิษทางอากาศได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะที่การเผาในที่โล่ง พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้รับผลกระทบจากพื้นที่ใกล้เคียง จึงต้องมีมาตรการควบคุมการเผาเศษวัสดุชีวมวล โดยเฉพาะในจังหวัดกาญจนบุรี ลพบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งมีอัตราการเผาในที่โล่งในพื้นที่นาข้าวและไร่อ้อยในปริมาณสูง”โดยข้อมูลจากงานวิจัยได้ส่งต่อให้กับกรมควบคุมมลพิษและจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบนโยบาย และมาตรการในการแก้ไขปัญหามลพิษ PM2.5 ในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถึงจุดกำเนิดของฝุ่น
“ทุกภาคส่วนมีส่วนในการสร้าง PM2.5 ขึ้น ตั้งแต่ภาคประชาชนจนถึงภาคอุตสาหกรรม ฉะนั้นปัญหาฝุ่น PM2.5จึงไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมมือกันลดปริมาณฝุ่นในพื้นที่ลงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการแก้ปัญหาในอนาคต เพราะทุกคนมิได้มีแต่สิทธิในการสูดอากาศสะอาดแต่ยังมีหน้าที่ทำให้อากาศมีคุณภาพที่ดีปลอดภัยด้วย” รศ.ดร.สาวิตรี ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี