ย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ในช่วงหยุดยาวเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2562-ต้อนรับปีใหม่ 2563 ห้วงเวลาแห่งการพักผ่อนและเฉลิมฉลอง แต่แวดวงการแพทย์ตกอยู่ในความกังวลหลังพบรายงานการระบาดของเชื้อโรคปริศนาในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ทั่วทั้งโลกจะได้รู้จักมันในชื่อ “โควิด-19” ไวรัสร้ายที่นอกจากจะคร่าชีวิตผู้ติดเชื้อโดยตรงแล้ว ด้วยมาตรการ “ล็อกดาวน์” ปิดกิจการต่างๆ เกือบทั้งหมด ไปจนถึงการให้คนอยู่แต่ในบ้าน ได้ทำลายล้างเศรษฐกิจของแทบทุกประเทศจนทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนตกงานขาดรายได้
สถานการณ์โรคระบาดที่กินเวลายาวนานเกือบ 2 ปี (ต้นปี 2563 ที่เริ่มการระบาดในจีน-ปลายปี 2564 ที่พบเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายโอมิครอน ซึ่งพบว่าแม้จะติดเชื้อได้ง่ายแต่ทำให้เกิดอาการป่วยไม่รุนแรงเหมือนเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้า) กระตุ้นให้ฅวงการแพทย์ทั่วโลกระดมสรรพกำลังพัฒนายาและวัคซีน โดยนอกจากยาแผนปัจจุบันแล้ว“สมุนไพร” ภูมิปัญญาของบรรพชนก็ถูกนำมาศึกษาวิจัยโดยหวังให้เป็นอีกทางเลือก
รายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2566 พาย้อนรอยความพยายามศึกษา “ฟ้าทะลายโจร” สมุนไพรขึ้นชื่อของไทย ในการรับมือโรคระบาดโควิด-19โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เล่าว่า ในเวลานั้น รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรเชื่อว่าฟ้าทะลายโจรจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือโรคระบาดใหม่นี้ จึงผลักดันให้มีการทดลอง ตั้งแต่การทดลองในเซลล์ ทั้งที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งพบว่ายับยั้งการแบ่งเชื้อได้ดี
ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า “โรคหวัดหรือโควิด-19 ไม่มียาที่ใช้รักษาเป็นการเฉพาะ อีกทั้งเมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบันอย่างฟาวิพิราเวียร์ ก็เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ และผู้ป่วยโควิด-19 ก็มีอาการคล้ายๆ กัน” ดังนั้น ในสายสมุนไพรที่ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาไข้หวัดใหญ่ จึงมีการวิจัยฟ้าทะลายโจรกับไวรัส ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการศึกษาสมัยใหม่แทบจะไม่ต่าง
โดยแม้โรคอุบัติใหม่จะยังไม่มีวิธีการศึกษามากนักว่าอะไรใช้ได้หรือไม่ได้ผล เนื่องจากโรคมาเร็วและเปลี่ยนสายพันธุ์เร็ว แต่หากมองในแง่ราคา “เปรียบเทียบระหว่างฟ้าทะลายโจรคอร์สละ 80-150 บาทแต่ฟาวิพิราเวียร์อยู่ที่ 2,000-5,000 บาท”ฉะนั้นในช่วงที่ยาหมดแล้วประชาชนหลายคนก็ใช้ฟ้าทะลายโจรดูแลตนเอง และกลายเป็นว่าฟ้าทะลายโจรก็ขาดตลาดไปอีกเช่นเดียวกัน แม้จะมีการเตรียมการโดยถอดบทเรียนจากช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดแล้วก็ตาม
“เราคิดว่าสักวันโรคที่จะอุบัติใหม่น่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับ RNA Virus เพราะโดยยีนของเขามันจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แล้วฟ้าทะลายโจรเป็น Broad Spectrum Antivirus ก็ต้องบอกว่าไวรัสตระกูลพวกหวัดจะไม่มียาจำเพาะ แม้กระทั่งโควิด-19 ก็ไม่มียาจำเพาะ การรักษาที่มีอาการรุนแรงก็คือ Oxygen Therapy แล้วพยายามลดการอักเสบของปอด แต่ถือเป็นการรักษาตามอาการ ฉะนั้นถ้าเราเป็นไม่มากหรือการดูแลตนเองฟ้าทะลายโจรถือเป็น Drug of Choice มากถือว่าเป็นสมุนไพรทางเลือกแรกก็ได้” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
ส่วนคำถามเรื่อง “ปริมาณยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวถึงการศึกษา เช่น ผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ก็ใช้แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 60-120 มิลลิกรัม แต่หากใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ปริมาณที่แนะนำคือ 180 มิลลิกรัม แต่ตามประสบการณ์ของชาวบ้าน 140- 150 มิลลิกรัม หรือแม้แต่น้อยกว่านั้นก็ยังมีรายงานว่าใช้ได้ เพราะหลักการคำนวณปริมาณยากับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย หมายถึงการให้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลตรงข้ามหรือออกฤทธิ์มากเกินไป ยาประเภทนี้จะมีข้อกำหนดปริมาณยาเป็นมิลลิกรัมกับน้ำหนักเป็นกิโลกรัม
เช่น ที่เคยได้ยินกันว่าให้กินยาพาราเซตามอล 1-2 เม็ด ปริมาณยาก็คือ 500-1,000 มิลลิกรัม แต่เราคงไม่ถึงกับต้องจับคนตัวเท่ากันเพื่อกินยาขนาดเดียวกัน บางทีคนที่น้ำหนักตัวต่างกันกินเม็ดเดียวเท่ากันก็มี ดังนั้น ในการรักษาจริงๆ มันจะมีช่วงระยะ (Range) ของมันในเชิงปริมาณ อาทิ 500 มิลลิกรัม-2 กรัม ในการรักษาท้องเสีย (ฟ้าทะลายโจร) เพราะบางทีในการศึกษาหนึ่ง 500 มิลลิกรัมก็ยังได้ผล อีกการศึกษาหนึ่งเพิ่มขนาดขึ้นมาก็ได้ผล เพราะแต่ละการศึกษาบางทีเขาใช้โดสที่ต่างกัน
ดังนั้น เรื่องสมุนไพรในเรื่องขนาดอาจต้องมีการทำให้เป็นมาตรฐาน (Standardize) ก็ต้องเลือกบริษัทที่ได้มาตรฐาน GMP หรือสูงกว่านั้นคือ GMPPS ซึ่งปกติการทำยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพรจะมีการทำเภสัชตำรับ (Pharmacopeia) ดังนั้น วัตถุดิบต้องได้มาตรฐาน เช่น ฟ้าทะลายโจรต้องผ่านมาตรฐาน ตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia) ซึ่งยาหลายยี่ห้อจะระบุมาตรฐานที่ได้รับ (GMP หรือ GMPPS) ไว้ที่กล่องยา แต่กรณีของ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ไม่ได้ระบุไว้แต่ก็เป็นองค์กรที่ทำเรื่องยาสมุนไพรมานานและได้รับรางวัล
“ในช่วงที่มีการระบาดของโควิดมีความต้องการเดือนหนึ่ง 2-3 แสนกระปุก แต่หลังระบาดเหลือประมาณ 1 แสน แต่ก่อนหน้าที่จะมีการระบาดประมาณ 4 หมื่น อันนี้เป็นยอดที่โรงงานของอภัยภูเบศรเนื่องจากการระบาดหายไปแต่ว่ายอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เป็นไปได้ที่ประชาชนรู้จักการใช้ฟ้าทะลายโจรมากขึ้น ก็คิดว่าฟ้าทะลายโจรจำเป็นต้องให้อยู่คู่สังคมไทย” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ระบุ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีฟ้าทะลายโจรอยู่ทุกหนทุกแห่งเพราะว่าฟ้าทะลายโจรอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีการส่งเสริมตั้งแต่ปี 2525 และในปี 2542 ก็อยู่ในบัญชียาหลัก แล้วก็มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำสมุนไพรตัวนี้ เหมือนเป็นการเตรียมการ แม้กระทั่งฟ้าทะลายโจรที่อยู่ในป่าตามธรรมชาติก็มีดังนั้นในอนาคตโรคที่เกี่ยวกับหวัดใหญ่หรือไวรัสสายพันธุ์ใหม่อาจจะมีเข้ามาเรื่อยๆทำอย่างไรฟ้าทะเลายโจรจะมีอยู่คู่สังคม ต้องทำให้ฟ้าทะลายโจรอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
ซึ่ง ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า นี่คือภารกิจหนึ่งของ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศรในการส่งเสริมฟ้าทะลายโจรทั้ง “แนวกว้าง”หมายถึงการพัฒนาฟ้าทะลายโจรในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย กับ “แนวดิ่ง” ตั้งแต่ระดับฐานราก เช่น ประชาชนสามารถต้มกินได้เพราะยานี้อยู่ในวิถีชีวิตอยู่แล้ว จนถึงระดับสูงคือหากมองไปทั้งโลกใครๆก็เป็นหวัดได้ โดยเฉพาะในโลกตะวันตกที่หวัดถือเป็นปัญหาของประเทศแถบนั้น
โดยโลกตะวันตกเองก็มีสมุนไพรชื่อ “อิชิเนเซีย (Echinacea)” ใช้ดื่มเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์ได้ชัดเจนกว่า จึงคิดว่าหากชาวต่างชาติมาเยือนเมืองไทย ลงเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจอฟ้าทะลายโจรสำหรับรักษาอาการหวัดในประเทศไทย เป็นสินค้าแบรนด์ไทย และแม้ประเทศอย่างจีนหรืออินเดียจะมีฟ้าทะลายโจรเช่นกัน แต่ประเทศไทยมีประสบการณ์ทั้งการใช้และการวิจัยเป็นจำนวนมากซึ่งต่างประเทศก็ยังอ้างอิงงานวิจัยฟ้าทะลายโจรของไทย
และนอกจากเรื่องของไวรัส ซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วก่อให้เกิดภาวะอักเสบ ในส่วนของระบบทางเดินหายใจส่วนบนก็มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่าฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์ หรืออย่างฤทธิ์ต้านการอักเสบ ทาง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “อภัยเม้าท์ สเปรย์ (ABHAI Mouth Spray)” สเปรย์พ่นบรรเทาอาการเจ็บคอและแผลในปาก ซึ่งมีผลการศึกษาของอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งที่ จ.เชียงราย เนื่องจากพื้นที่นั้นมีปัญหาผู้คนเจ็บคอจากฝุ่น PM2.5 จำนวนมาก และงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ
“ฟ้าทะลายโจรยังมีฤทธิ์รักษาอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร” เช่น โรคกระเพาะอาหารในลำไส้ ช่วยรักษาอาการลำไส้แปรปรวน หรืออาการลำไส้ใหญ่เป็นแผล “นอกจากใช้เป็นยารักษาโรคแล้ว ยังมีการนำฟ้าทะลายโจรมาใช้เป็นเครื่องสำอางได้” เพราะทำให้หน้าขาว-หน้าเด้ง หรือแปรรูปเป็นสบู่สำหรับบรรเทาอาการคันตามผิวหนัง ทั้งหมดนี้คือการส่งเสริมฟ้าทะลายโจรในแนวดิ่ง ตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปต้มกินไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการส่งออก และในแนวกว้างที่จะเห็นผลิตภัณฑ์จากฟ้าทะลายโจรที่หลากหลาย
“อีกอันที่ทุกคนจะงงมากคือฟ้าทะลายโจรกันยุงได้ เราทำเป็นฟ้าทะลายยุง ก็คือฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการฆ่าลูกน้ำยุงลาย ในอนาคตเราอาจจะพัฒนาฟ้าทะลายโจรเป็นตัวควบคุมลูกน้ำยุงลายในธรรมชาติ กันยุงเราก็ไปทดสอบ ที่เราจะบอกว่าอะไรกันยุงได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไปกันยุงได้ 2.7 แล้วเราก็เอาไปทดสอบการระคายเคือง สามารถฉีดที่ผิวคนที่โดนยุงกัดเขามีสรรพคุณ แก้อักเสบแต่ก็สามารถที่จะยุบได้
ตัวเดิมของเราเป็นตะไคร้หอมกันยุง ทีนี้น้องหมาน้องแมวได้กลิ่นแล้วก็วิ่งหนีถ้าเกิดเขาโดนยุงกัดเขาจะเป็นโรคพยาธิหัวใจ ตัวนี้ (สเปรย์ฟ้าทะลายโจรกันยุง) สำหรับผิวบอบบาง เราแต่งกลิ่นด้วยใบมะกรูด เราตั้งใจว่าเราจะทำให้ฟ้าทะลายโจรเป็นอัตลักษณ์ของชาติไทย ตั้งแต่เราไปเก็บรวบรวมสายพันธุ์ทั้งประเทศว่ามีกี่สายพันธุ์ แล้วเรามาคิดว่าจะเป็นยาอะไรบ้าง เราก็ทำเป็นฟ้าทะลายโจรแคปซูล แล้วอย่างผงก็สกัดเป็นอภัย เม้าท์ สเปรย์ เป็นสบู่เหลว แล้วก็ยากันยุง แล้วเรากำลังทำครีมแก้คันสำหรับผู้ป่วยโรคไต” ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าว
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีวางจำหน่ายที่มูลนิธิ และที่ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แต่สิ่งที่อยากจะฝากไว้คือ “อย่าให้ฟ้าทะลายโจรขาดบ้าน” หากเป็นหวัด มีอาการไอ เจ็บคอ ก็ให้รีบกิน จะเป็นต้นหรือผลิตภัณฑ์ก็ได้ สำหรับ “การต้มรับประทาน” ให้ใช้ใบฟ้าทะลายโจรแบบโตเต็มที่ 5-7 ใบ ต้มในน้ำเดือด 2 แก้ว หรือ 500 cc เมื่อน้ำเดือดแล้วให้ใส่ใบฟ้าทะลายโจรลงไป ปิดฝาแล้วตั้งทิ้งไว้แล้วแบ่งดื่ม 3 เวลาต่อวัน
แต่ก็มี “ข้อควรระวังในการใช้ฟ้าทะลายโจร” ไล่ตั้งแต่ 1.สำหรับบางคนอาจเกิดอาการแพ้ ซึ่งก็เป็นธรรมดากับการที่จะมีคนแพ้บางสิ่งบางอย่าง (อาทิ แพ้อาหารทะเล) ดังนั้น ผู้ที่จะใช้ก็ต้องรู้จักร่างกายของตนเองด้วย 2.ไม่ควรกินต่อเนื่องนานๆหากกินในปริมาณที่ใช้เพื่อรักษาโรคเมื่อหายป่วยก็ควรหยุดกิน แต่หากกินเพื่อดูแลสุขภาพก็ควรกินในปริมาณน้อยๆ 3.สำหรับผู้ใช้ยาละลายลิ่มเลือดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นลิ่มเลือด หากใช้ยาทั้ง 2 ชนิด อาจทำให้เสริมฤทธิ์กันจนเกิดอาการเลือดออกมากเกินไปได้ 4.ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ มีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่าหนูตั้งครรภ์ที่ได้รับสารฟ้าทะลายโจรตัวอ่อนมีอาการผิดรูป
“ฟ้าทะลายโจรถือว่าเป็นสมุนไพรที่ปลอดภัย ยกเว้นในคนท้อง คนแพ้ แล้วก็มีข้อควรระวังในคนที่กินยาละลายลิ่มเลือด”ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวในตอนท้าย
หมายเหตุ : สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดยบุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี