ชาวเน็ตคอมเมนต์กันสนั่น!!! หลังเพจดังได้โพสต์เรื่องราวของแม่แท้ๆได้นำลูกสาวไปฝากแม่นมเลี้ยงในมูลนิธิฯแห่งหนึ่ง นานถึง 6 ปี ภายใต้เงื่อนไขได้พบเดือนละ 1 ครั้ง แต่สุดท้ายไม่ยอมคืนลูกให้ พร้อมถูกขอเงินเป็นประจำ ขณะที่เพจ"เป็นหนึ่ง"เตรียมบุกอยุธยานำเด็กกลับคืนสู่อ้อมอกแม่
2 ก.พ.67 เพจเฟซบุ๊ก"เป็นหนึ่ง" ได้โพสต์เล่าเรื่องราว"ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร อยากให้อ่านให้จบ" โดยระบุว่า แม่ร้อง “เป็นหนึ่ง” ฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงแต่ถึงเวลาเอาลูกคืนพี่เลี้ยงกลับไม่อยากคืนให้ ในตอนแรกเราก็สงสัยว่าเขากังวลเรื่องอะไร ในเมื่อสิทธิ์เด็ดขาดนั้นอยู่ที่แม่แท้ๆ แต่เมื่อสอบถามเรื่องราวเพิ่มเติม กลับดรามา..
เรื่องราวทั้งหมดเราขออนุญาตทางคุณแม่น้องก่อนนำมาเล่าแล้วนะคะ
“สวัสดีค่ะเพจเป็นหนึ่ง หนูมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ หนูฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยง แต่พี่เลี้ยงไม่ให้ลูกหนูคืนค่ะ ประเด็นเรื่องมันมีอยู่ว่า ตั้งแต่ในตอนที่หนูยังเด็ก หนูถูกรับเป็นลูกบุญธรรมในตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ก่อนหน้านี้หนูทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่งค่ะ แต่ก็ต้องลาออกเพราะแฟนคนแรกบังคับให้ออก (แฟนคนแรกคบมา 15 ปี)
ตลอดเวลาที่คบกันกับแฟนคนแรก หนูถูกเขา หลอก-โกหก มาตลอด ตัวเขามีนิสัยติดพนันบอล เป็นหนี้หนูก็ต้องแบกรับไปจ่ายไปเคลียร์ให้ไม่รู้จบ มีหนักๆเลยก็ถูกเจ้าหนี้บอลตามมาทวงที่ร้านขายของ ทำลายข้าวของร้านจนพังหมดเลยค่ะ มันทำให้หนูรู้สึกอายจนไม่กล้าจะขายของต่อเลย เท่านั้นไม่พอ ยังมีนิสัยที่ชอบโกหก โกหกได้ทุกอย่างทั้งเรื่องเล็กๆน้อยน้อยไปจนถึงเรื่องผู้หญิง ชีวิตหนูช่วงนั้นต้องสูญเสียทรัพย์สินในชีวิตไปมากมายกับผู้ชายคนเดียว จนหนูส่งให้เขาเรียนจนจบปริญญา ท้ายที่สุดก็ไปกันไม่รอดค่ะ เพราะคำว่าไม่รู้จักพอของคน
หลังจากนั้นมันทำให้หนูฝังใจมาตลอดว่าชีวิตนี้ไม่ขอเจอผู้ชายแบบนี้อีกแล้ว
หลังจากนั้นหนูก็ไม่มีแฟนมาเกือบ 4 ปี เลยค่ะ จนหนูได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อของลูกหนูในปัจจุบัน เราทั้งคู่คบกันมาได้สักระยะหนึ่ง ตัวเขาก็บอกเราว่าเขาอยากมีลูก เพราะตัวเขาก็อายุมากแล้ว และตัวหนูเองก็อายุใกล้จะ 30 แล้วด้วย
เราเช็กประวัติเขาทุกอย่างว่า มีลูกมีเมียอยู่แล้วไหม มีหนี้สินภาระอะไรที่เราจะต้องตามชดใช้ให้เหมือนแฟนคนก่อนหรือเปล่า สำหรับเราคู่รักคู่หนึ่งที่ตัดสินใจจะมีลูกด้วยกันนั้น เราเชื่อว่าต้องมีความมั่นคงพอสมควร เพื่อเด็กที่จะเกิดมาในอนาคตจะได้ไม่ต้องแบกรับปัญหาของพ่อแม่
หนูไม่ขอให้เขาจัดงานแต่ง ไม่เรียกร้องสินสอดใดๆทั้งสิ้นกับทางฝ่ายชาย เราทั้งคู่แค่ต้องการสร้างครอบครัวและให้ลูกได้เติบโตมาอย่างดีที่สุด หลังจากนั้นเราทั้งคู่ได้มีลูกคนแรกด้วยกัน
ในช่วงเวลา 2 ปี ที่เลี้ยงลูกคนแรก หนูหวงลูกมาก เพราะลูกคนแรกเรากินนมแม่ตั้งแต่ยังเล็กจนเกือบ 3 ขวบ ต้องยอมรับว่าหนูกับแฟนเพิ่งจะเคยเลี้ยงลูก อาจจะมีขาดตกบกพร่องจนทำให้ทะเลาะกันบ้าง ตามประสาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
4 ปี ต่อมาเรามีลูกด้วยกันอีก 1 คน ในตอนนั้นพูดตรงๆว่าลูกคนนี้หนูไม่ได้บอกที่บ้านเรา (บ้านที่รับเลี้ยงเราเป็นลูกบุญธรรม) เพราะกลัวเขาจะไม่โอเค
ลูกคนแรกของเรามีแม่บุญธรรมของเราช่วยเลี้ยง แต่ในตอนที่มีลูกคนที่สอง แม่บุญธรรมก็เริ่มอายุมากขึ้น ทางครอบครัวบุญธรรมก็ค่อนข้างเป็นตระกูลใหญ่ เป็นที่นับหน้าถือตา ทางหนูและแฟนไม่ได้มีการจัดพิธีตามขนบ หนูกลัวว่าเขาจะไม่โอเค เลยไม่ได้บอกเรื่องลูกคนที่สองให้เขาได้รู้
หลังจากที่เราคลอดลูกคนที่ 2 เราตัดสินใจที่จะพาลูกคนเล็กไปฝากเลี้ยงไว้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งที่มีพี่เลี้ยงรับเลี้ยงลูก ในลักษณะของ “แม่นม” ที่เราตัดสินใจแบบนี้เพราะเราไม่อยากทะเลาะกับสามีเรื่องการแบ่งเวลามาเลี้ยงดู เพราะทางสามีเองก็ต้องลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงดูพ่อที่แก่ชรา
หลังจากที่เราเอาลูกคนเล็กมาฝากเลี้ยงที่มูลนิธิ เรามาเยี่ยมลูกเดือนละ 1 ครั้ง มูลนิธิดังกล่าวนี้มีกฏว่า “ห้ามแม่นม และแม่แท้ๆมาเจอกัน” ในตอนที่ฝากเลี้ยงลูกอยู่ เพราะอาจจะทำให้เกิดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ตามมา
เราฝากเลี้ยงลูกที่มูลนิธิดังกล่าวได้ 1 ปี พอเข้าปีที่ 2 “แม่นม” ได้สืบเจอและรู้ว่าเราเป็นแม่ของเด็ก ทางแม่นมก็พยายามติดต่อหาเราโดยตรง โดยที่ทางมูลนิธิไมไ่ด้ทราบในเรื่องนี้ เราคุยกับแม่นมกันแบบส่วนตัวเพื่ออัพเดตชีวิตประจำวันของลูกเรา เพราะรักและคิดถึงลูกมาก
ที่ผ่านมา การที่เราได้เจอลูกแค่เดือนละ 1 ครั้งมันทำให้เราคิดถึงลูกมาก ทุกครั้งที่เราเข้าไปเยี่ยมลูก เราจะซื้อของใช้ นม แพมเพิส เสื้อผ้า บริจาคให้มูลนิธิด้วย
แต่เมื่อแม่นมเห็นเราทำแบบนั้น เขาก็พยายามติดต่อหาเราเพื่อยืมเงิน มีการนัดหมายเรานอกสถานที่ พูดหว่านล้อมให้เราซื้อ แพมเพิส นม ให้ลูกและอื่นๆอีก เหมือนเป็นการที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นสองทาง ทั้งที่บริจาคให้มูลนิธิ และที่พี่เลี้ยงเรียกกับเรานอกรอบด้วย
เป็นเวลากว่า 4 ปีเกือบ 5 ปีที่เราฝากเลี้ยงลูกกับทางมูลนิธิดังกล่าว ที่เราให้ปัจจัยต่างๆนอกรอบกับแม่นม โดยที่มูลนิธิไม่ทราบเรื่อง เพราะเรามองว่าที่เขาเลี้ยงอยู่ก็คือลูกเรา
ถึงเวลาที่เราจะเอาลูกของเราออกจากมูลนิธิ ทางแม่นมก็ติดต่อมาหาเราส่วนตัว ขอเอาลูกเรากลับไปเลี้ยงต่อ ให้เหตุผลว่าเขาเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก เขารักและผูกพันกับลูกเรา เราเองก็ยังไม่สบายใจที่จะพาลูกกลับไปบ้านเพราะกลัวว่าแม่บุญธรรมจะไม่สบายใจ ปัจจัยต่างๆในตอนนั้นมันบีบให้เราตัดสินใจฝากน้องไว้กับแม่นม โดยเราตั้งใจจะฝากไว้แค่ 3 เดือนค่ะ แต่พลาดตรงที่เราไมได้ทำสัญญาใดๆทั้งสิ้นที่จะยกลูกให้พี่เลี้ยง โดยลูกหนูอาศัยอยู่กับแม่นมมา 2 ปีแล้วค่ะตั้งแต่ออกจากการดูแลภายใต้มูลนิธิดังกล่าว
พอครบกำหนดที่เราจะไปพาลูกกลับเขาก็ยื้อไว้ตลอด เราให้เหตุผลว่าเราจะพาน้องไปเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือแล้ว จนตอนนี้ลูกหนูอายุ 6 ขวบแล้ว เขายังไม่คืนลูกให้หนูเลยค่ะ หนูพยายามติดต่อไปหาเขาตลอด สืบหาว่าลูกหนูเรียนอยู่ที่ไหน แต่ทางแม่นมไม่บอกอะไรหนูเลย
แม่นมบอกว่าตอนแรกลูกหนูเรียนเอกชน จะขอเรียกเงินค่าเทอมจากหนู พอหนูขอใบเสร็จก็ไม่มีหลักฐานให้ เวลาลูกหนูไม่สบายก็จะเอาเงิน ก่อนหน้านี้หนูก็เคยโอนให้ แต่ไม่เคยเห็นหลักฐานใบเสร็จทางโรงพยาบาลหรือคลีนิคเลยว่าลูกหนูป่วยจริง รูปถ่ายลูกหนูก็ไม่เคยให้หนูเห็น หนูแค่ต้องการลูกกลับมาเลี้ยงเองแต่ทางแม่นมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ลูกหนูคืนสักที
จนหนูสืบไปเจอโรงเรียนที่ลูกหนูเรียนอยู่ และไปดักเจอลูกเพื่อรับตัวลูกกลับไปอยู่ในการดูแลของหนูเอง แต่พอไปถึงโรงเรียนครูกลับไม่ให้หนูเอาลูกกลับ เพราะคุณครูไม่ไว้ใจ สุดท้ายหนูก็ต้องเป็นฝ่ายถอยกลับมา
ในตอนนี้หนูเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ทางมูลนิธิมีกฏที่ห้ามแม่นมและแม่แท้ๆมาเจอกันเพราะอะไร เพราะตอนที่ลูกหนูอยู่ในการดูแลของมูลนิธิมันไม่ควรจะมีค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม
พฤติกรรมของพี่เลี้ยงตลอดระยะเวลาที่เลี้ยงลูกหนู มักจะมีเรื่องเงิน มาเกี่ยวข้องในบทสนทนาเสมอ เช่น
1.พี่เลี้ยงคอยมาขอเงินขอของใช้สิ่งต่างๆ จากหนู
2.ทางพี่เลี้ยงคอยมากู้และยืมเงินหนู ทำให้หนูเริ่มมองถึงศักยภาพที่จะเลี้ยงลูกหนูไม่ไหว ถ้าไม่ไหวแล้วทำไมไม่คืนลูกให้หนู ?
มีเรื่องเงินมาเรื่อยๆ อ้างว่าลูกเราป่วยขอเงินในการรักษาแต่ไม่เคยมีใบเสร็จให้ไม่เคยมีหลักฐานมายันว่าลูกเราป่วยจริงพอมองกลับไปการที่เขาอ้างว่าพาลูกเราไปหาหมอตลอดแต่ทำไมสุขภาพฟันของลูกเราแย่ทั้งปากมีฟันผุหมดปากแปลว่าที่ผ่านมาลูกเราอาจจะไม่เคยเข้ารับการดูแลจริงๆเลยซักครั้ง
ในการมาร้องเพจเป็นหนึ่งครั้งนี้ หนูแค่อยากได้ลูกคืนจริงๆ ในส่วนของเงินที่เสียไปแล้วให้มันเสียไปหนูไม่ซีเรียส แต่ลูกหนูต้องถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างมีประสิทธิภาพ
การกระทำของพี่เลี้ยงที่พยายามกั๊กลูกของคนอื่นไว้ ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายกรณีพรากเด็กจากผู้ปกครองที่เป็นพ่อและแม่นะคะ
ทางเป็นหนึ่งได้ติดต่อไปทางมูลนิธิดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็แจ้งว่าเป็นเรื่องจริง
พรุ่งนี้เป็นหนึ่งพร้อมเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก จ.อยุธยา จะเดินทางไปที่ จ.อยุธยา เพื่อพาแม่ของน้องไปรับตัวน้องออกมาจากบ้านของพี่เลี้ยง โปรดติดตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องราวดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกไป ได้มีผู้เข้าไปคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นการให้กำลังใจแม่ได้ลูกกลับคืนมาสู่อ้อมอกโดยเร็ว ขณะที่บางส่วนก็ตั้งคำถามต่างๆนาๆ ในทำนองว่า เป็นเคสที่พยายามเข้าใจแม่แท้ๆมากๆถึงมากที่สุด แต่คำถามผุดขึ้นมาเต็มเลย แม่แท้ๆ,คือ พร้อมทั้งเงิน พร้อมทั้งครอบครัว แต่...กลับฝากเลี้ยง แปลกๆตั้งแต่ตรงนี้จริงๆค่ะ , อ่านแล้ว พยายามเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ แต่ยังพยายามอยู่ ยังไม่เข้าใจ แม่นมคนเลี้ยงเค้าหวงเด็กไว้ทำไม? รักผูกพันธุ์ ? หรือเค้าต้องการอะไรอะคะ, อ่านไปขมวดคิ้วไป ติดตามค่ะ ขอให้ได้น้องคืนมา
บางคนก็ระบุว่า อ่านทุกคำ..สรุป ขอให้ลูกได้กลับมาอยู่กับพ่อแม่ค่ะ แล้วให้ความรักความอบอุ่นกับลูกให้มากที่สุดค่ะ เข้าใจคุณแม่และความจำเป็น เหตุผลมีร้อยแปด แต่ท้ายสุดก็ต้องดูแลเยียวยาจิตใจกันทุกคนค่ะ เป็นกำลังใจ สู้ๆนะคะ,อ่านจนจบแบบงงๆๆ,เด็กน่าจะผูกพันกับแม่นมไปแล้วนะนั่น ตั้งหลายปี แม่แท้ๆไปเจอแค่เดือนละครั้ง แล้วเด็กกลับมาอยู่กับครอบครัวจริงๆคงต้องปรับเยอะเลยในเรื่องความรู้สึก เรื่องนี้ไม่สงสารใครเลยนอกจากเด็ก เค้าจะรู้สึกแบบไหน, เราผู้ชอบการอ่านและอ่านจนจบ??ล้านคำในใจอยากจะกล่าวแต่ก้อเก็บไว้ดีกว่าสงสารเด็กๆนะ, เพิ่งรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย เป็นต้น
ขณะที่แอดมินเพจ"เป็นหนึ่ง" เข้าไปตอบโดยสรุปว่า รอพรุ่งนี้สรุปทีเดียวนะคะ เดี๋ยวจะอัดเป็นคลิปลงให้ทุกคนเข้าใจบางคนอ่านอาจจะยังไม่เข้าใจเพราะตอนแรกเราเองก็เอ๊ะ!เหมือนกันแต่พอเราได้สอบถามกับทางมูลนิธิ ที่แม่เคยไปอยู่ เราได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ตอนแรกทางเราก็ไม่เชื่อหรอกค่ะแต่ทางเราได้คุยกับ Sister ที่อยู่มูลนิธิที่แม่กับน้องเคยไปอยู่แล้วมันคือเรื่องจริงค่ะ
ขอบคุณข้อมูลเฟซบุ๊ก เป็นหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี