“ถ้าท่านจำได้ตอนโควิด มีเด็กที่ไม่สามารถเรียนต่อได้ 4 แสนคน ตอนนั้นเด็กกลับเข้ามาประมาณ 2 แสนกว่าคน ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ก็บอกว่าให้ครูไปเยี่ยมบ้านเลยคนที่ไม่กลับ เอากลับคืนมาให้หมด ก็กลับมาได้ประมาณแสนคน ก็ยังขาดอีกแสนกว่าคนที่ยังไม่กลับเข้ามา คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่มีเงินค่าเทอมนะไม่มีเงินไปเรียนหนังสือ มันขนาดนั้น แล้ววันนี้สิ่งที่หลายคนไม่ได้ดูสถิติ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่อยู่คนละแห่ง ฝากเลี้ยง 4.8 ล้านคน สังคมไทยต้องการความช่วยเหลือตรงนี้
ฉะนั้นรัฐบาลต้องดูตัวเลขอันนี้แล้วก็ไปช่วยเขาให้เยอะๆ ให้เขาเดินต่อไปได้ วันนี้บางบ้านมีลูก 3-4 คนยายกับตาเลี้ยง 1,600 จากเงินเบี้ยผู้สูงอายุ แล้วพ่อแม่เคยส่งมาให้เดือนละ 3,000 เหลือ 1,000 เพราะว่ารายได้ไม่พอ เด็กพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ กระทรวงอย่างพม. น่าจะต้องให้เขาเพิ่ม แล้วกองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา น่าจะให้เขาเพิ่ม ก็ฝากกรรมาธิการงบประมาณไปว่าถ้าเผื่อทำ”
ความเห็นของ จุติ ไกรฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่เคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2567 อันเป็นช่วงที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มครัวเรือนเปราะบาง
โดย ณ เวลานั้น จุติ ตั้งข้อสังเกตว่า “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)” เป็นหน่วยงานที่ “ไม่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น” ซึ่งในยุครัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ริเริ่มทำไว้ในส่วนของ “เด็กตกสำรวจ” ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ก็ได้เงินจาก กสศ. ช่วยเหลือ โดยมีถึง 3 ล้านคนยังไปต่อได้ทั้งๆ ที่ชีวิตไปต่อไม่ได้ เรื่องนี้ก็ต้องชี้ให้เห็นว่า การจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับ กระทรวง พม. ที่แม้จะได้งบประมาณราว 2 หมื่นล้านบาท แต่เป็นเพียงงบฯ ทางผ่าน เช่น เงินเด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ โดย พม. ได้งบฯ จริงเพียง 1,900 ล้านบาทในการดูแลคน 77 จังหวัดตลอดทั้ง 12 เดือน
กระทั่งใน “รายการ แนวหน้า Talk ตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567” ซึ่งครั้งนี้ไม่ได้บันทึกเทปกันที่สตูดิโอ นสพ.แนวหน้า ย่านวิภาวดีฯ-หลักสี่ กรุงเทพฯ แต่ยกกองกันไปสัมภาษณ์ จุติ ไกรฤกษ์ ที่บ้านพักใน อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งอดีต รมว.พม. ผู้นี้ ยังคงย้ำจุดยืนเดิม ว่า “รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสทางการศึกษาและการสร้างอาชีพ” เพราะเป็นหนทางที่ทำให้ครัวเรือนยากจนหรือกลุ่มเปราะบางหลุดพ้นจากความลำบากได้
แต่ก่อนหน้านั้น รายการ แนวหน้า Talk ชวนทำความรู้จักกับ “ตระกูลไกรฤกษ์” หนึ่งในตระกูลการเมืองเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยมาแล้วถึง 3 ชั่วอายุคน โดย จุติ เล่าว่า บ้านหลังนี้อยู่มาตั้งแต่ปี 2519 ขณะที่ปู่ของตน ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ อดีต สส. พิษณุโลก ช่วงปี 2489-2510 บ้านเดิมอยู่ที่ ต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ซึ่งร.ท.จงกล เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี
“คุณปู่ผมถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่ได้เลือกว่าปกปักรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จึงมีผลว่าติดคุกเกาะตะรุเตา 11 ปีอันนี้เรียกว่านักโทษการเมืองของแท้เลย ตอนนั้นน่าจะเยอะ หลายสิบคน แล้วก็ตายกันในป่าเยอะ นั่นคือยุคปล่อยเกาะจริงๆ ท่านอยู่ที่นั่น 11 ปี คุณปู่ผมเป็นนายทหารคนสนิทของพระองค์เจ้าบวรเดช ที่สมัยนั้นเรียกว่ากบฎบวรเดช คืออยู่ฝั่งสถาบันพระมหากษัตริย์
ก็ไปสู้รบแล้วก็แพ้ เดินนับไม้หมอนกลับมาแล้วก็ถูกจับ พอถูกจับด้วยความเป็นเพื่อน ผู้มีอำนาจก็ถามว่า “จงกล อยู่กับใคร?” จงกลก็บอกอยู่กับนายคือพระเจ้าอยู่หัวอยู่กับเจ้า ก็เข้าคุกไป 11 ปี พอออกมาเขาจะมีการเลือกตั้งคุณปู่ผมลงสมัคร แล้วก็เป็น สส. 3 สมัย ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี สมัยนั้นก็คือต้องเป็นฝั่งของผู้มีอำนาจอย่างเดียว” จุติ กล่าว
จากรุ่นปู่มาถึงรุ่นพ่อ โกศล ไกรฤกษ์ อดีต สส. 7 สมัยและได้เป็นรัฐมนตรีช่วยหลายกระทรวง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลนายกฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กระทั่งได้เป็นรองนายกฯ ในสมัยรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่ง จุติ เล่าว่า พ่อเริ่มเป็น สส. ในปี 2512 ตามคำขอร้องของปู่ “อย่าทิ้งชาวบ้านและเพื่อนที่รักษามา” และพ่อก็ได้สั่งเสียตนกับพี่สาวด้วยถ้อยคำเดียวกัน
สำหรับผลงานของ โกศล ไกรฤกษ์ สมัยที่เป็นรัฐมนตรี เช่น เป็นผู้ริเริ่มการเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) เรื่องมันสำปะหลัง เรื่องโควตาสิ่งทอส่งออก เรื่องการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของการประปานครหลวง (กปน.) ที่มีปัญหาเก็บได้น้อยกว่าปริมาณการใช้น้ำจริง เช่น ปริมาณการใช้น้ำ 100 ลูกบาศก์เมตร แต่จัดเก็บค่าน้ำประปาได้เพียง 31 ลูกบาศก์เมตรและที่ผ่านมาให้เหตุผลว่าเป็นเพราะท่อน้ำสภาพเก่าชำรุดรั่วซึมแต่จริงๆ แล้วมาจากการลักลอบใช้น้ำ โดยเฉพาะธุรกิจอาบอบนวดซึ่งมีผู้แจ้งเบาะแสขอให้ไปตรวจสอบ
แต่เรื่อง กปน. นี้ จุติ กล่าวว่า ต้องให้เครดิตกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ และทีมงาน รวมถึง ศ.สังเวียน อินทรวิชัยที่ถูกเชิญเข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงการบริหาร โดยมีการวางแผนเชิงธุรกิจอย่างชัดเจน ประกอบกับสหภาพแรงงานของ กปน.ที่เข้มแข็ง ท้ายที่สุดเมื่อแผนปฏิรูปดำเนินไป 3 ปี กปน. ก็มีกำไรเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นยังมีเรื่องการขยายตลาดส่งออกข้าว ได้เดินทางไปยังทวีปแอฟริกาเยือนหลายประเทศ เช่น เซเนกัล กินี ไนจีเรีย ใช้ความเป็นนักการเมืองพูดคุยกับนักการเมืองในประเทศดังกล่าว แนะนำข้าวหอมมะลิให้รู้จัก
“ไปเจอกับเลขาธิการของพรรครัฐบาลเซเนกัล คุยกันเข้าใจรู้เรื่อง คุณพ่อผมเข้าไปบอกว่า ลองขอบริจาคข้าวคุณภาพสูงให้กับ สส. และคณะรัฐมนตรีของเซเนกัลด้วย ก็เป็นข้าวหอมมะลิครั้งแรก ก็ปรากฏว่าเปิดตลาดเป็นครั้งแรกเขาก็บอกไม่เคยเจอข้าวหอมมะลิ ข้าวที่หอมและอร่อยอย่างนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าวไทยไปเปิดตลาด เหมือนเอาสินค้าตัวอย่างไปแนะนำ กินีเป็นประเทศที่ประธานาธิบดีรุ่นนั้นหาเสียงด้วยนโยบายถ้าชนะเลือกตั้งจะนำเข้าข้าวไทย เป็นนโยบายหาเสียงเลยสมัยนั้น แล้วเขาชนะ
แล้วเป็นรุ่นแรกที่ต้องบอกว่าพ่อค้าข้าวของคนไทยสมัยนั้นขายข้าวไปฮ่องกงตลาดใหญ่ที่สุด สมัยนั้นกระสอบละ50 กิโล พ่อค้าข้าวไทยบอกว่าฮ่องกงอาศัยอยู่อพาร์ตเมนท์สูงๆ ก็ปรับมาเหลือถุงละ 5 กิโล แค่นี้เอง เปลี่ยนแพ็กเกจ แบกง่ายขึ้น ขายเพิ่มเลยทันที สมัยคุณพ่อผมก็เหมือนกับทำลายสถิติค้าข้าวได้สูงสุด ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยค้าข้าวสูงสุดประมาณ 27 ปีติดต่อกัน แล้วหลังจากนั้นก็มีคนอื่นทำได้เพิ่มขึ้น ก็เป็นคนปูทางเรื่องตลาดค้าข้าวได้สำเร็จพอสมควร” จุติ กล่าว
จุติ เล่าเพิ่มเติมถึงความพยายามของ โกศล ไกรฤกษ์ ผู้เป็นบิดา ในการขยายตลาดส่งออกข้างของไทย ว่า เวลานั้นความท้าทายสำคัญคือการแข่งขันกับ สหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจที่ “สายป่านยาว-กระเป๋าหนัก” สามารถวางนโยบายส่งออกข้าวแบบชำระดอกเบี้ยระยะยาว 10-15 ปีและในเมื่อไทยไม่มีทางสู้กับสหรัฐฯ ได้ในเรื่องสายป่าน ก็ต้องหันมาเน้นเรื่องคุณภาพข้าวที่จะส่งออกแทน จนปัจจุบันไม่ว่าฮ่องกงหรือประเทศในทวีปแอฟริกา ก็ยังคงซื้อข้าวจากประเทศไทยเพราะติดใจเรื่องคุณภาพ
ขณะที่เส้นทางการเมืองของตนเอง จุติ เล่าว่า เริ่มต้นชีวิตนักการเมืองกับพรรคกิจสังคม แต่ได้เป็น สส.พิษณุโลก สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชากรไทย เมื่อปี 2531 ซึ่งก็ได้หัวหน้าพรรคในเวลานั้นอย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นครูบาอาจารย์ทางการเมือง จากนั้นย้ายไปเข้าร่วมกับพรรคพลังธรรม ตามด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยนานที่สุด เป็นเวลาถึง 28 ปี ก่อนจะย้ายมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ
เมื่อให้สรุปความเปลี่ยนแปลงการทำงานทางการเมืองของ 3 ชั่วคน จุติ กล่าวว่า หากมองย้อนไปในสมัยของรุ่นปู่ การเดินทางไปหาเสียงกับชาวบ้านต้องอาศัยการขี่ม้าเพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า ต้องไปนอนค้างคืนในหมู่บ้านภาพแบบนี้ยังคงดำเนินมาจนถึงรุ่นพ่อ หรือแม้กระทั่งตอนที่ตนลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. ครั้งแรกก็เช่นกัน เพราะถนนยังเป็นลูกรัง สะพานก็ยังเป็นไม้ต้องขับรถข้ามด้วยความระมัดระวัง
กระทั่งเมื่อถนนหนทางดีขึ้น ผู้สมัคร สส. ก็สามารถหาเสียงแบบไปเช้า-เย็นกลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนค้างแรมร่วมกับชาวบ้านอย่างในอดีตอีก เช่นเดียวกับการสื่อสารที่จากเดิมที่นักการเมืองต้องลงพื้นที่ไปนอนค้างแรมกับชาวบ้าน ได้พูดคุยเห็นหน้า ทำความรู้สึกจนเกิดความเชื่อมั่นไว้ใจกัน ก็เปลี่ยนเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ และล่าสุดคือการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งตนมองว่าทำให้ความผูกพันระหว่างนักการเมืองกับประชาชนลดลง แต่ปัจจุบันกลายเป็นโลกของการสื่อสารทุกอย่าง เก่งไม่กลัวกลัวช้า ฉะนั้นก็ต้องปรับให้ได้มากที่สุด
มาจนถึงการทำงานในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ช่วงปี 2562-2566 โดย พม. เป็นกระทรวงที่ดูแลเรื่องนิคมสร้างตนเอง จุติ เล่าว่า มีครั้งหนึ่งตนไปมอบเอกสารอนุญาตให้มีสิทธิ์การใช้ประโยชน์พื้นที่นิคมสร้างตนเอง เห็นนามสกุลของหนึ่งในผู้รับมอบ เลยถามคนที่มารับไปว่าลุงคนหนึ่งซึ่งที่มีนามสกุลนี้ยังอยู่หรือไม่เพราะเห็นมาร้องเรียนบ่อยๆ ผู้มารับมอบที่เป็นผู้หญิงบอกว่าลุงคนนั้นเป็นปู่และเสียชีวิตไปแล้ว พูดง่ายๆ คือกว่าที่จะได้สิทธิ์นี้ต้องรอกันถึงรุ่นหลาน หรือใช้เวลานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่ปี 2512 ถึงปี 2562
ดังนั้นในการทำงาน เก่งไม่กลัวแต่จะกลัวช้า จึงควรทำให้เร็วขึ้น เอาใจใส่ทุกข์ของประชาชน และหากไม่ได้จริงๆ ก็ต้อง
มีคำอธิบาย แต่ก็ยอมรับว่าแม้กระทั่งในยุคที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการก็ยังไม่สามารถให้สิทธิ์ได้ครบ เพราะปัญหาอยู่ที่การปล่อยให้มีการแจกเอกสารสิทธิเป็นกระดาษมากกว่าจำนวนที่ดินจริง หรือก็คือที่ดินมีน้อยกว่าเอกสารสิทธิ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อน หรือหากเป็นที่ดินเกาะ ก็ยังมีปัญหา สค.1 บิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการตั้งคณะกรรมการสะสางที่ดิน โดยกำหนดเงื่อนไขกับประชาชนว่าให้สิทธิ์ในการใช้ประโยชน์แต่ไม่อนุญาตให้ขาย โดยมุ่งหวังให้ประชาชนมีที่ดินทำกินไม่ต้องถูกขับไล่ ตนก็เห็นว่าเป็นต้นทุนที่ดี เพราะชาวบ้านจากที่เคยเป็นเจ้าของก็ต้องเช่าที่ดินของตนเองที่กลายเป็นของนายทุนไปแล้ว อย่างในอดีตที่ดินนิคมสร้างตนเองมีเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเหลือเพียงหลักแสนไร่เท่านั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย อนึ่ง ใน จ.พิษณุโลก ตนก็มองว่า 2 ปัญหาสำคัญ คือเรื่องที่ทำกินกับเรื่องโอกาสทางการศึกษา
“เด็กที่ยังยากจน เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา ผมเพิ่งไปพูดมาว่าเด็กที่เรียนประถม 1 จบ ม.ปลาย ม.6 พร้อมกันมีแค่ 50% เท่านั้นนะ อีก 50% ไม่ผ่านเพราะว่าความยากจนแล้วเราก็ยังจัดสรรงบประมาณให้คนกลุ่มนี้น้อย ถึงแม้จะมากขึ้นแต่ก็น้อยกว่าความต้องการ เราต้องให้เครดิตท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ปี 2563 ตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ให้แบบไม่มีเงื่อนไขแต่ให้คุณได้เรียนหนังสือ ตอนนี้กองทุนนี้ช่วยคนไปประมาณ 3 ล้านคน ดูว่าเยอะแต่ว่ามันไม่พอ” จุติ กล่าว
อดีต รมว.พม. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับปู่ย่าตายาย มีประมาณ 4.8 ล้านคน ถึงกระนั้นตนก็เห็นว่าตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่เด็กที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษามีอยู่ประมาณ 2 แสนคน ซึ่งตนก็ขอร้องไปยังรัฐบาลแล้วว่าให้ปรับการจัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อให้คนที่ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงโอกาส ดังนั้น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ควรได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น และการลงทุนด้านการศึกษาคือการลงทุนระยะยาว เด็กอายุ 12 ปีหรือ 15 ปี ยังมีอายุอยู่ไปได้อีกครึ่งศตวรรษ ประเทศควรให้โอกาสเขา
ส่วนปัญหาอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง ตนมองว่า ความยากลำบากสำหรับคนจน คนที่จนที่สุดคือคนที่จนโอกาส และตนเชื่อว่าอีกร้อยละ 15 ของสังคมที่ยังมีปัญหาอยู่นี้ยังต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเวลา 4 ปีของการเป็น รมว.พม.ทำให้ตนได้เห็นความยากจนของคนไทย เท่าที่ไปสำรวจกันมา ครอบครัวเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐยังมีถึง 4.1 ล้านครัวเรือน โดยคำว่าครอบครัวเปราะบางหมายถึงขาดแคลนในหลายมิติ เช่น รายได้ต่ำ อาชีพไม่มั่นคง แถมยังมีคนชราหรือคนพิการอยู่ในครัวเรือนอีก และลูกก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
ซึ่งครัวเรือนเปราะบางในประเทศไทยมีถึง 4.1 ครัวเรือน หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 10 จากครัวเรือนไทยทั้งหมด 27 ล้านครัวเรือน ทางแก้คือการให้เบ็ดไม่ใช่ให้ปลา คือไม่ใช่การแจกแต่ต้องให้ความรู้เพื่อช่วยเหลือตนเองได้ เช่น แม่เลี้ยงเดี่ยวต้องหาอาชีพให้เขา ต้องหาทางให้เขาเข้าถึงแหล่งเงินกู้ โรงเรียนที่ลูกจะไปเรียนก็ต้องมีคุณภาพและไม่ไกลจากที่พักจนเกินไป และต้องดูแลไม่ให้เด็กเข้าถึงยาเสพติด รวมถึงการพนันออนไลน์ที่ตนมองว่าเป็นภัยเงียบที่สุดในปัจจุบัน เพราะหาได้จากสื่อสังคมออนไลน์เต็มไปหมด
“มีครอบครัวเด็กที่รับจ้างทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม กรอกถุงสำหรับกล้าต้นไม้ เช้าถึงค่ำ เดือนหนึ่งได้อย่างมากสามพันกว่าบาท เขาก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องขอบคุณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ให้ทุนการศึกษาแบบไม่มีเงื่อนไข ไปเรียนผู้ช่วยพยาบาล วันนี้เขามีอาชีพที่มั่นคงมีเงินเดือนเดือนละเกือบหมื่นแปด แล้วเขาส่งมาบ้านเดือนละห้าพัน เขาออมอีกเดือนละสามพัน ก็อยู่ที่ว่ารัฐบาลช่วยเขาในเรื่องของความรู้ ได้เงินมาอย่าไปพนันหมดนะ ออมเท่าไร ดูแลแก้ปัญหาความยากจนเท่าไร เห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเขาเลย” อดีต รมว.พม. ระบุ
จุติ ยังเล่าอีกว่า มีอีกรายหนึ่ง ไม่มีทุนเรียนแต่อยากเรียนพยาบาล ครูมาพาหาซึ่งตนพยายามจะหาทุนรัฐบาลให้แต่ก็หายาก เลยบอกบุญไปทางพี่สาว ล่าสุดทราบว่าเรียนจบทำงานเป็นพยาบาลไปแล้ว หรือมีครั้งหนึ่งตนเดินทางเข้าไปที่กรุงเทพฯ เจอผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกนิรภัยอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้าง ผู้หญิงคนนั้นทักว่าจำได้ไหม เพราะตนเป็นคนหาทางให้ได้เรียน จนผู้หญิงคนนี้ซึ่งมีแม่ขายผักในตลาดสามารถเรียนจนจบวิศวกรรมโครงสร้าง มีรายได้ดูแลแม่ ตนได้ยินแล้วก็รู้สึกชื่นใจ
นอกจากเยาวชนแล้ว ยังมีกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูก 5 คนแต่เป็นคนสู้ชีวิตมาก ตนเลยประสานให้ไปฝึกทักษะการทำอาหารจาก ชุมพล แจ้งไพร เชฟชื่อดังระดับประเทศ แม้ระหว่างการฝึกลูกคนหนึ่งจะเสียชีวิตแต่ก็ไม่ท้อ ท้ายที่สุดปัจจุบันทราบว่ามีรายได้ประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเดือน ใช้ดูแลที่บ้านประมาณ 1 หมื่นบาทและมีแผนจะไปทำงานต่างประเทศโดยไปแบบถูกกฎหมายในอนาคตอันใกล้ นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ
หมายเหตุ :สามารถติดตามรายการ “แนวหน้า Talk” ดำเนินรายการโดย บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ผ่านทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงหัวค่ำโดยประมาณ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี