ขณะนี้สถาบันครอบครัว ของสังคมไทย อ่อนแอลงอย่างน่าเป็นห่วง เยาวชนในชนบทประมาณ 60-70% ต้องอยู่กับปู่ย่า-ตายาย โดยไม่มีพ่อ-แม่เลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ทั้งศีลธรรม วัฒนธรรม ระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพ่อ-แม่ ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯบ้าง ในเมืองใหญ่ๆ บ้าง ในแหล่งท่องเที่ยวบ้างหรือไปทำงานเก็บผลไม้อยู่ที่อิสราเอลบ้าง เกาหลีบ้าง ไต้หวันบ้าง
การส่งเงินมาให้ปู่ย่า-ตายาย เลี้ยงดูลูกของตนบ้างก็ส่งอย่างสม่ำเสมอ บ้างก็ขาดๆ-หายๆ จนลูกของตนพ่อแม่ของตน ต้องอดมื้อกินมื้อ
เด็กๆ ที่พ่อ-แม่ไปทำงานที่อื่น ฝากปู่ย่า-ตายายเลี้ยงอยู่ในชนบท จึงขาดความอบอุ่น จำนวนไม่น้อยติดยาเสพติด หรือเข้าไปอยู่ในวงจรค้ายาเสพติด อีกจำนวนหนึ่งกลายเป็นเด็กเกเร หาเงินในทางมิชอบ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม สังคมไทยจึงอ่อนแอลง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เรื่องเหล่านี้เราท่านก็ทราบดีกันอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดแก้ไขปัญหาสังคมเหล่านี้เรามีกระทรวง ทบวง กรมอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเท่ากับเรามี “ผู้นำ” ที่จะแก้ไขปัญหาสังคมไทยอยู่แล้ว ทุกระดับ และทุกหน่วยราชการ ตั้งแต่:_
ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต. อบจ. ปลัดอำเภอ นายอำเภอ แรงงานจังหวัด พม.จังหวัด เกษตรจังหวัดวัฒนธรรมจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด
และผู้นำระดับชาติอีกมากมาย ประกอบด้วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวง ไปจนถึงนายกรัฐมนตรีผู้เป็น “ผู้นำ” สูงสุดของประเทศ ในฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (Chief of Executive Power) ตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ผู้นำทุกระดับดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าการที่แรงงานไทยต้องย้ายถิ่นฐาน จากภูมิลำเนาของตนไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือต่างประเทศ เพราะใน
ท้องถิ่นของตนไม่มีงานให้ทำ ที่พอจะมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวได้ จึงต้องบ่ายหน้าไปหางานทำ ณ บ้านอื่น เมืองอื่น แล้วส่งเงินกลับมาเลี้ยงครอบครัว
ความจริงถ้าไปทำงานต่างประเทศ มีรายได้เดือนละห้าหมื่นบาท หากมีงานทำในประเทศ มีรายได้เพียงเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ย่อมดีกว่าแน่ เพราะค่าครองชีพถูกกว่า ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งพ่อ-แม่-ลูก รวมทั้งได้ดูแลปู่ย่า-ตายายได้ด้วย
สังคมครอบครัวของคนไทย ก็จะไม่กลายเป็นสังคมที่อ่อนแอ เด็กไทยขาดความรับผิดชอบ เด็กไทยชอบตีรันฟันแทงกันจนตาย ด้วยเรื่องสถานศึกษาที่ต่างกัน เด็กไทย ติดยาเสพติดมากมาย จนกลายเป็นปัญหาของสังคม
สังคมครอบครัวไทย จึงไม่แข็งแรงเช่นสังคมครอบครัวของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลี รวมทั้งอินโดนีเซีย ซึ่งกำลังจะแซงหน้าไทย เช่น เวียดนาม ซึ่งได้แซงหน้าเราไปแล้ว
พลังละมุน หรือ Soft Power ที่บรรพบุรุษเราได้สั่งสมมาให้หลายศตวรรษ ก็จะค่อยๆ สูญหายไป ไม่ว่าจะเป็น ความกตัญญูกตเวที การมีเมตตาจิต การอ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นมิตรกับผู้มาเยือน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฯลฯ
ของดีๆ เหล่านี้กำลังสูญหายไป Soft Power ของเรา กำลังกลายเป็น Fading Power หรือ พลังที่กำลังจางหายไป จากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ความรุนแรง การขาดความรับผิดชอบต่อสังคม การขาดความสำนึกของการมีจิตสาธารณะ การจี้ปล้นนักท่องเที่ยว การทุจริตคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มือใครยาวสาวได้สาวเอา
แล้วเราก็จะหันหน้ามองกันเอง พร้อมกับบ่นพึมพำว่า ปัญหามันมีมานานแล้วนะลุง ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหนจะแก้ได้
วัตถุประสงค์ของคอลัมน์นี้ ก็เพื่อจะยกปัญหาของประเทศมาให้พวกเราได้ตระหนัก แต่ตระหนักอย่างเดียวคงไม่พอ ก็จะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไข
แต่ประชาชนธรรมดาอย่างเราๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากคิด แต่การคิดอย่างเดียวก็ เห็นจะไม่พอ การเสนอข้อแก้ไข ข้อปรับปรุง จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ถ้าเรา
ไม่อยากเห็นชาวไทยในอนาคต ต้องแบกเป้ออกเดินไปหางานทำในประเทศใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม ลาว กัมพูชา เช่นที่เรากำลังหอบเป้ไปทำงานอยู่แถวอิสราเอล เกาหลี ยุโรปเหนือ
ดังนั้น บทบาทของ “ผู้นำ” ทุกระดับ ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยไม่ต้องรอให้มีการ “บัญชา” มาจากเบื้องบน เช่น จากรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เพราะต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับการหาเงินมาแจก ห้าแสนล้านบาทบ้าง การหาเงินเข้าพรรคในฐานะเลขาธิการพรรคบ้าง หรือการสะสมเงินไว้หาเสียงในการเลือกตั้งคราวหน้าบ้าง
แล้ว “ผู้นำ” ระดับ ตำบล หมู่บ้าน อำเภอ จะไปทำอะไรได้ ถ้า “เจ้านาย” ไม่สั่งมา
ก่อนอื่น เราต้องดูก่อนว่า เราต้องการอะไร บทความนี้ใคร่จะชี้ให้เห็นว่า เราต้องการให้ครอบครัวไทย เป็นครอบครัวที่เข้มแข็ง มีพ่อแม่เลี้ยงดูลูก สั่งสอนจริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม ต่อลูก การให้การศึกษาและวิชาชีพต่อลูก และยังหันหลังไปมองและดูแลพ่อแม่ของตน (หรือปู่ย่า-ตายายของลูก) ตามสมควร โดยไม่ไปมอบภาระหนักๆ ให้แก่ท่าน ในการเลี้ยงดูลูกหลาน หรือปล่อยท่านเป็นภาระต่อสังคม
แต่การจะทำเช่นนั้นได้ พ่อหรือแม่ ก็จะต้องมีงานทำที่มีรายได้พอสมควร ที่พอจะอยู่กับลูกและดูแลปู่ย่าตายายได้ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตไปทำงานเกษตรอยู่ในอิสราเอลบ้าง ไต้หวันบ้าง และในยุโรปบ้าง หรือใกล้หน่อยก็ทำงานโรงงานในกรุงเทพฯ
“ผู้นำ” ระดับท้องถิ่น และระดับภูมิภาค จึงควรตระหนักว่า ในการแก้ปัญหาที่สังคมไทยอ่อนแอลงนั้น เราจะต้องสร้างงาน ที่มีรายได้พอสมควร ให้แก่ชุมชนที่ตนรับผิดชอบ เพื่อพ่อแม่จะได้อยู่ดูแลสถาบันครอบครัวในชุมชน ให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็ง จากชุมชนหนึ่ง ไปอีกชุมชนหนึ่ง จนท้องถิ่นนั้น ภูมิภาคนั้น มีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง บุตรหลานได้รับการอบรมที่ดี รับการส่งต่อของสิ่งที่ดีงามจากพ่อแม่ ปู่ย่า-ตายาย ประเทศไทยก็จะมีประชากร ที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับ เวียดนาม เกาหลี และญี่ปุ่นได้
หากนายอำเภอแต่ละอำเภอ ประธาน อบต. ประธาน อบจ. แต่ละแห่ง จะตั้ง “คณะทำงานพัฒนาชุมชน” ขึ้นในเขตอำนาจของตน โดยนำผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ มา
ระดมความคิดเห็น นำไปปฏิบัติในชุมชนของตน โดยไม่ต้องรอให้นักการเมืองสั่งมา ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งว่า “ผู้นำชุมชน” ของเรา มีความริเริ่ม มีนวัตกรรมได้เอง โดยไม่ต้องรอบัญชาจากฝ่ายการเมือง
แต่จะหางานที่ไหนมาทำกัน เพื่อไม่ต้องให้แรงงานระดับพ่อแม่ ต้องทิ้งครอบครัวไปทำงานที่อื่น ก็คงจะต้องคิดต่อ ขอความชำนาญจาก “มูลนิธิโครงการหลวง” บ้าง
จาก “โครงการทหารพันธุ์ดี” จากค่ายทหารต่างๆ บ้าง หรือดูตัวอย่าง ความสำเร็จ จากของที่มีอยู่แล้วและได้ผลดี เช่น
- การเพาะเลี้ยงกบ - การเลี้ยงหอยทาก
- การเลี้ยงผึ้ง - การเลี้ยงปลาบึก
- การปลูกไม้ดอก
ซึ่งหากเกษตรอำเภอ อุตสาหกรรมอำเภอ พาณิชย์จังหวัด มีการประสานกันดี ย่อมสามารถทำเป็นสินค้าบรรจุกระป๋องหรือขวด ส่งไปขายต่างประเทศได้
ส่วนของที่น่าจะกินหรือใช้ได้ในประเทศ ก็มีมากมาย เช่น
- การเลี้ยงจิ้งหรีด - การเลี้ยงจั๊กจั่น
- การทำตับจาก - การทำตับหญ้าแฝก
- การเลี้ยงปลาดุก - การจักสานไม้ไผ่
- การผลิตสินค้าจากผักตบชวา
- การเลี้ยงผักตบชวาเพื่อทำเป็นอาหารสัตว์
ทาง “ผู้นำ” ระดับจังหวัด หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ก็น่าจะต้องไหวตัวด้วย โดยส่งเสริมและช่วยเหลือให้ “ผู้นำ” ระดับท้องถิ่น และระดับภูมิภาค ให้มี “คณะทำงานพัฒนาชุมชน” เพื่อการมีสถาบันครอบครัวที่แข็งแรง และการมีงานที่สร้างรายได้ขึ้นในชุมชน โดยการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ ทั้งการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้อยู่ได้นาน (อุตสาหกรรมจังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ฯลฯ) เพื่อการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน เงาะ มังคุด กบ หอยทาก (Escargot)รวมทั้งการแปรรูปอาหารโปรตีนอื่นๆ เช่น ตั๊กแตน แมลงเม่าเป็นต้น
รวมถึงการให้กำลังใจท้องถิ่นและอำเภอที่ดี โดยการยอมรับยกย่อง (Recognition) และการตอบแทนเมื่อสิ้นปี “สองขั้นบ้าง เลื่อนตำแหน่งบ้าง” เป็นต้น
หากผู้นำในระดับจังหวัด อำเภอ เทศบาล อบจ. อบต. ทำได้เช่นนี้ โดยไม่ต้องรอผู้นำระดับประเทศ ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งมัวยุ่งอยู่กับธุรกิจการเมือง ประเทศไทยก็คงจะเจริญก้าวหน้าได้ทันประเทศอื่น ซึ่งเคยตามหลังเรามาในอดีต
สุวรรณภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี