วันที่ 8 มีนาคม 2567 นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์โรคหัด กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค โดยข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคหัดจากฐานข้อมูลโครงการกำจัดโรคหัด (Measle Elimination Online) พบผู้ป่วยโรคหัดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี
โดยข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 20 กุมภาพันธ์ 2567 พบว่า มีรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด ทั้งหมด 143 ราย เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ 37 ราย และมีประวัติเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา 10 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.07 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของสามปีที่ผ่านมา พบในกลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปีสูงที่สุด 1.16 ต่อประชากรแสนคน
ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต พื้นที่ที่พบผู้ป่วยมี 4 จังหวัด โดยจังหวัดปัตตานีมีอัตราป่วยสูงที่สุด 5.74 ต่อประชากรแสนคน รองลงมา คือ ภูเก็ต (0.24) สงขลา (0.21) และยะลา (0.18) ตามลำดับ
“ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 85 ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด หรือไม่ทราบประวัติการได้รับวัคซีน ซึ่งจังหวัดที่มีการระบาดสูงยังมีความครอบคลุมของวัคซีนต่ำ โดยได้รับวัคซีน MMR1 เพียงร้อยละ 56.1 และ MMR2 ร้อยละ 41.6 จากการทบทวนข้อมูลความครอบคลุมของวัคซีนหัด หัดเยอรมัน และคางทูม (MMR) ของฐานข้อมูล HDC พบว่า ความครอบคลุมของวัคซีน MMR2 ในประเทศไทยยังไม่ถึงตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เป้าหมาย คือ ทุกจังหวัดต้องมีการฉีด MMR2 มากกว่า หรือเท่ากับ ร้อยละ 95 จึงจะสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหัดได้ ซึ่งขณะนี้มีจังหวัดที่ความครอบคลุมการฉีดวัคซีน MMR2 ไม่ได้ตามเป้าหมาย ถึง 65 จังหวัด จึงทำให้หลายพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค”
ด้าน นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เสริมว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เตือนว่ากว่าครึ่งหนึ่งของประเทศในโลกนี้มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคหัด เนื่องจากความครอบคลุมของวัคซีนหัดต่ำลงในหลายประเทศทั่วโลกตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด 19 สำหรับประเทศไทย เคยมีการระบาดใหญ่ของโรคหัดในปี 2561 – 2562 ที่มีผู้ป่วยหัดยืนยันกว่า 3,000 รายต่อปี ซึ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด มีจำนวนผู้ป่วยหัดลดลงอย่างมาก อาจเป็นผลพวงจากมาตรการในการป้องกันโควิด 19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจเช่นเดียวกันกับโรคหัด
ทั้งนี้ โรคหัด เกิดจากไวรัสหัด หรือ Measles virus พบได้ในจมูกและลำคอของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือพูดคุยระยะใกล้ชิด แพร่กระจายได้ง่ายเมื่อผู้ป่วยหายใจหรือไอ จาม ละอองอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ 4 วันก่อนผื่นขึ้นไปจนถึงหลังผื่นขึ้นแล้ว 4 วัน อาการจะเริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล มักจะไอแห้งๆ ตลอดเวลา หลังจากนั้นจะมีไข้สูง ตาแดงก่ำและแฉะ อาจมีไข้สูงประมาณ 3-4 วัน จึงเริ่มมีผื่นขึ้นลักษณะผื่นนูนแดง ติดกันเป็นปื้นๆ ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและรุนแรงคือปอดอักเสบและสมองอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
กรมควบคุมโรค ขอให้คำแนะนำและการป้องกันโรคหัด ดังนี้
1. รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล สวมใส่หน้ากากอนามัย ปิดปาก ปิดจมูก ขณะไอหรือจาม
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีไข้ออกผื่น
3.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด สำหรับเด็กเล็กควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด 2 เข็มที่อายุ 9 เดือน และ 1 ปีครึ่ง หากเด็กยังไม่เคยได้รับวัคซีนเลยควรเข้ารับวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
สำหรับผู้ป่วยหากมีอาการไข้ออกผื่น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ในช่วงที่มีอาการควรสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัด ให้หยุดงาน หยุดเรียน หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น หลังจากผื่นขึ้นอย่างน้อย 4 วัน เพื่อลดการแพร่กระจายโรค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี