‘เจิมศักดิ์’ฟาดจุกๆ!ออกบทความชำแหละ‘บ่อน บันเทิงครบวงจร จนเงินหรือจนความคิด’
26 มีนาคม 2567 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เผยแพร่บทความเรื่อง “บ่อน บันเทิงครบวงจร : จนเงินหรือจนความคิด” ดังนี้
บ่อน บันเทิงครบวงจร : จนเงินหรือจนความคิด
แนวคิดที่ต้องการจะเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทย โดยอำพรางไว้ในเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการนำแนวคิดเดิมที่เคยผลักดันในยุครัฐบาลทักษิณ และก็วนเวียนกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้เลือกสถานที่ที่ใกล้สนามบินและเมืองใหญ่โดยให้นักลงทุนขนาดใหญ่จึงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะตั้งเงื่อนไขไว้ว่าจะต้องมีเงินลงทุนเป็นแสนล้านบาท
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ายามใดที่มีการเสนอแนวคิดว่าจะเปิดบ่อนกาสิโนออกมา ยามนั้นฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐ มักจะตกอยู่ในภาวะ "จนตรอก"หากรัฐบาลไม่จนเงิน ขาดเงินหรือขาดรายได้มาใช้จ่าย รัฐบาลก็มักจะกำลังจนตรอกทางปัญญา
เรียกว่า เป็นตัวชี้วัดความจนตรอกของรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง
1) อ้างกันเรื่อยเปื่อยว่า หากเปิดบ่อนกาสิโนแล้ว จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
อ้างว่า ธุรกิจการพนันมีเงินหมุนเวียนสูงกว่าหนึ่งแสนล้านบาท
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินหมุนเวียนในกาสิโนนั้นไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจเลย
คนละเรื่องกับเงินหมุนเวียนที่เกิดจากการผลิตสินค้า ซื้อขายสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจทั่วไป
เพราะการเล่นพนันในบ่อน เงินได้เสียระหว่างคนเล่นและเจ้ามือ เป็นเพียงการโอนเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งโดยเงินของคนเล่นเสียก็ตกไปเป็นของคนที่เล่นได้
จำนวนเงินรวมกัน ของผู้ได้รับและผู้เสียเงินทั้งหมด จะเท่าเดิม
มิได้ผลิตสินค้าหรือบริการใดเพิ่มขึ้น จึงไม่เพิ่มรายได้ของระบบเศรษฐกิจส่วนรวม อย่างที่สมัยนี้ชอบเรียกว่ามีตัวคูณ
ไม่เหมือนการลงทุนที่ทำให้เกิดการผลิต การจ้างงานต่อๆกันไป และเกิดการหมุนเวียนทรัพยากรการผลิตต่างๆ ตามมา
การพนันจึงไม่เกิดคุณค่าแก่สังคมส่วนรวม
หากภาครัฐจะมีรายได้บ้าง ก็คงเป็นค่าต๋งหรือภาษีอากร หรือถ้ารัฐเป็นเจ้ามือเองก็คงเพียงแต่กินเงินชาวบ้านมาเข้ากระเป๋าตนเท่านั้นเอง
ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับ ผลกระทบ และความเสียหายที่มีต่อทรัพยากรมนุษย์และสังคม เสียเวลา เสียโอกาสไปทำมาหากินอย่างอื่น ไปลงทุนที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ สามารถเพิ่มผลิตผลที่มีค่ามากกว่านี้
ยังไม่นับถึงปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม การฟอกเงิน และการทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การฆ่าตัวตาย การจี้ ปล้น ลักทรัพย์ การยักยอกเงินบริษัท การเบี้ยวหนี้ธุรกิจ การทุบตีภรรยา การแย่งชิงมรดก การละทิ้งลูกเมียพ่อแม่ ฯลฯ ตลอดจนค่านิยมในสังคมที่จะผิดเพี้ยนมากขึ้นไปอีก
2) อ้างกันอีกว่า มีบ่อนชายแดน ทำให้เงินไหลออกไปเล่นบ่อนชายแดน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
อันที่จริง ถ้ารู้ขนาดนี้ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เจ้าของบ่อนชายแดนส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนเป็นคนไทย
เพราะฉะนั้น ถ้าคนเล่นได้ก็นำเงินกลับเข้าประเทศ ถ้าเจ้าของบ่อนได้ก็นำรายได้กลับเข้าประเทศ
แต่อันที่จริง หากไม่ต้องการให้คนออกไปเล่นการพนันบ่อนชายแดน ก็ยังมีหลากหลายวิธีที่ป้องกันและปราบปรามอย่างได้ผล เช่น การเข้มงวดเอาจริงกับการตรวจตราวิธีผ่านด่านชายแดน การควบคุมการนำเงินเข้าออก รวมถึงกลวิธีแก้เผ็ดดัดสันดานนักพนันตามชายแดนอีกมากมาย
มักจะอ้างกันว่า มีบ่อนกาสิโนในประเทศไทยจะได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ความจริงเพื่อนบ้านของเราก็มีบ่อนคาสิโนอยู่มากมาย ทำไมเค้าเลือกที่จะมาเที่ยวประเทศไทยขณะที่ยังไม่มีบ่อน การมีบ่อนในประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่อะไร สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลมาจากต่างประเทศเพื่อมาเล่นการพนัน
ยิ่งกว่านั้น หากอ้างว่า เมื่อมีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายแล้วก็จะได้แก้ปัญหาบ่อนเถื่อน บ่อนกลางกรุง บ่อนวิ่ง บ่อนลอยฟ้าฯลฯ ข้อนี้ ก็เป็นข้ออ้างเลื่อนลอยอย่างยิ่ง
ไม่มีหลักประกันใดเลยว่า เมื่อมีบ่อนคาสิโนขนาดใหญ่ถูกกฎหมายแล้วจะไม่มีบ่อนเถื่อน
ที่ผ่านมา เมื่อมีสลากกินแบ่งรัฐบาล หวยรัฐบาล ก็ยังปรากฏว่า มีหวยเถื่อน การพนันออนไลน์แพร่ระบาด
ปัญหาอยู่ที่ตำรวจและผู้มีอำนาจรัฐ จะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามบังคับใช้กฎหมายหรือไม่
ถ้าเอาจริง เชื่อแน่ว่าจะปราบสิ่งผิดกฎหมายได้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็จะต้องลดน้อยลงกว่านี้มาก (ไม่ว่าจะหวยใต้ดินบ่อนเถื่อน หรือการออกไปเล่นพนันตามบ่อนชายแดน)
3) นอกจากนี้ บ่อนการพนันถูกกฎหมายยังจะเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นรากฐานขององค์กรอาชญากรรม และการทุจริตทางการเมือง เป็นช่องทางผ่องถ่ายผลประโยชน์จากการคอร์รัปชั่น และธุรกิจอิทธิพลนอกกฎหมาย
คงจำได้ อดีตนักการเมืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยอ้างต่อศาลในคดีทุจริตว่า ตนเองได้เงินมาจากการเล่นการพนันที่บ่อนคาสิโนประเทศออสเตรเลีย มิใช่การโกง แต่ยังดีที่กรณีนี้ ป.ป.ช. เดินทางไปหาหลักฐานที่บ่อนคาสิโนของออสเตรเลีย จนได้มีหลักฐานอื่นมาโต้แย้ง ทำให้จำนนด้วยข้อเท็จจริง
หากเปิดบ่อนกาสิโนได้จริง นักการเมืองบ้านเราจะฮั้วกับผู้มีอำนาจรัฐที่ดูแลบ่อน ทำการปลอมแปลงเอกสาร หรืออาศัยบ่อนคาสิโนในเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เป็นเครื่องมือฟอกเงินหรือปิดบังอำพรางการทุจริตประพฤติมิชอบของพวกตนได้ง่ายขึ้นหรือไม่
4) หากเข้าใจว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ย่อมเป็นความเข้าใจผิดมหันต์
ในความเป็นจริง เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า"ขุนพัฒนสมบัติ" สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท
ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาทกระทั่งในปี พ.ศ.2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ ก็ยังมีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล
แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า การมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ในพ.ศ.2453 แต่กว่าจะเลิกบ่อนกาสิโนในประเทศไทยได้ ก็แสนยากลำบาก กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายนพ.ศ.2460
พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน เช่น เมื่อครั้งเสด็จฯประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติกาโล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆในกาสิโน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขาดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.2450 ความบางตอนว่า
"...ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้วฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไรจะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"
5) นักการเมืองที่สนับสนุนให้มีบ่อน บันเทิงครบวงจร คงจะมีภรรยาหรือสามี และคงมีลูกชายหรือลูกสาว ท่านเหล่านี้คงตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัว หลีกเลี่ยงป้องกันมิให้คนในครอบครัวของตนตกเป็นทาสการพนัน
อาจจะเริ่มต้น ทดลองถามตัวเองง่ายๆ ว่า
ถ้าสามีหรือภรรยา ของเรา ตกเป็นทาสของการพนัน เราจะพอใจไหม?
ถ้าลูกของเรา ตกเป็นทาสของการพนันเราจะชื่นชม สุขสบายใจได้ไหม?..."
แต่เพราะเงินและผลประโยชน์ ทำให้คิดสองมาตรฐาน คิดว่าคนที่ติดการพนันไม่ใช่ลูกเมีย ผัวของเรา หรือเป็นคนต่างชาติก็คงไม่เป็นไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี