"บะลาโกล"เสือโคร่งคลองลานที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ได้รับการปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติทับลานแล้ว ด้านเจ้าหน้าที่ยืนยันสามารถดำรงชีวิตในธรรมชาติได้ พร้อมคอยดูแลระบบการติดตามและเฝ้าระวังทุกวันจากการใส่ปลอกคอสัญญาณดาวเทียม คาดหวังจะสามารถดำรงชีวิต และสืบเผ่าพันธุ์ เพิ่มจำนวนเสือโคร่งในผืนป่าธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติทับลานต่อไป
6 มิ.ย.67 เพจเฟซบุ๊ก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 นครสวรรค์ ระบุว่า “บะลาโกล”เสือโคร่งคลองลานที่ชาวบ้านพบเดินหิวโซ และได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา บริเวณหมู่บ้านกะเหรี่ยงน้ำตก อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) สามารถดักจับได้แล้วนำมาพักฟื้นที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อตรวจสุขภาพ ตรวจโรคติดต่อที่สำคัญ และรักษาอาการบาดเจ็บที่ดวงตาข้างซ้าย จากการวินิจฉัย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาในสัตว์ พบว่าดวงตาข้างซ้ายเป็นต้อและมีอาการอักเสบรุนแรง หากปล่อยไว้อาจมีผลต่อดวงตาอีกข้าง จึงรักษาด้วยการนำลูกตาออก และแม้จะมีดวงตาเพียงข้างเดียว เสือโคร่งก็สามารถดำรงชีวิตในธรรมชาติได้ ผลการตรวจสุขภาพอื่นๆ ปกติ และไม่มีโรคติดต่อ
โดยบะลาโกลได้รับการฟื้นฟูร่างกายจากเจ้าหน้าที่ให้อาหารที่เหมาะสม คล้ายคลึงกับชนิดอาหารในธรรมชาติ เสริมวิตามินที่จำเป็น และมีการฝึกฝนพฤติกรรมให้สามารถดำรงชีวิตในป่าได้ เมื่อร่างกายบะลาโกลเริ่มสมบูรณ์ แผลที่ดวงตาเริ่มดีขึ้น สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) จึงได้เริ่มวางแผนเพื่อจะปล่อยบะลาโกลสู่ผืนป่าธรรมชาติ
สำหรับสถานที่ที่ปล่อยนั้น ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า และสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (ปราจีนบุรี) เพื่อคัดเลือกพื้นที่ปล่อยบะลาโกล ผลการประชุมได้เลือกอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่เป้าหมายในการปล่อย เนื่องจากฐานข้อมูลการสำรวจติดตามประชากรเสือโคร่งรายปีในพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ของสถานีวิจัยสัตว์ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ พบว่ามีพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทับลานยังไม่มีเสือโคร่ง ยึดเป็นพื้นที่หากิน ซึ่งมีความเหมาะสมต่อตัวสัตว์ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ และมีขนาดพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับเสือโคร่ง
นอกจากนี้ยังพบว่าพื้นที่มีประชากรเหยื่อเพียงพอ และเป็นถิ่นอาศัยของเสือโคร่งอินโดจีนที่มีปริมาณความหนาแน่นต่ำกว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง บะลาโกลจะช่วยเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมในพื้นที่ป่าทับลาน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการแก่สัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการเคลื่อนย้ายบะลาโกล และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เห็นชอบเคลื่อนย้ายบะลาโกล จากสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ไปปล่อยยังพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี ในวันที่ 5-6 มิถุนายน 2567
ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายเสือโคร่งบาละโกลไปยังอุทยานแห่งชาติทับลาน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 (นครสวรรค์) โดยนายสัตวแพทย์ประจำสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 ได้เตรียมความพร้อมเสือโคร่ง โดยการงดอาหาร งดน้ำ เพื่อวางยาสลบ เจ้าหน้าที่กลุ่มงานวิชาการทำการติดปลอกคอวิทยุสัญญาณดาวเทียมก่อนเคลื่อนย้าย เพื่อติดตามเส้นทางการดำรงชีวิตของบะลาโกลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน และดำเนินการเคลื่อนย้ายในคืนของวันที่ 5 มิถุนายน 2567 เพื่อลดปัจจัยในการทำให้เสือโคร่งเกิดความเครียด ทั้งสภาพอากาศ และปัญหาการจราจรในช่วงเวลากลางวัน ระยะทางการเคลื่อนย้ายบะลาโกลสู่บ้านหลังใหม่ ใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง โดยการติดตามของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด
เมื่อถึงจุดหมายจึงทำการปล่อยบะลาโกลในเวลารุ่งเช้าของวันที่ 6 มิถุนายน 2567 โดยหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่จากสถานีวิจัยสัตว์ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ คอยดูแลระบบการติดตามและเฝ้าระวังทุกวัน จากการใส่ปลอกคอสัญญาณดาวเทียม พร้อมกับทางสถานีฯ ได้มีการติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตว์กระจายครอบคลุมพื้นที่ 40 ตร.กม. สามารถใช้ในการสอดส่อง และสร้างความมั่นใจในการติดตามเฝ้าระวังเหตุต่าง ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน โดยหวังว่าบะลาโกล จะสามารถดำรงชีวิต และสืบเผ่าพันธุ์ เพิ่มจำนวนเสือโคร่งในผืนป่าธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติทับลานต่อไป
ขอบคุณคลิปภาพ : ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี