“คิด for คิดส์” ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัวโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับ 101 PUB จัดงานเสวนาสาธารณะ “เด็กและครอบครัวไทยที่ไม่ถูกมองเห็น : รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2024” เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมาณ ThaiHealth Academy ชั้น 34 อาคารเอสเอ็ม ทาวเวอร์ ย่านสนามเป้า กรุงเทพฯ
วรดร เลิศรัตน์ ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) ฉายภาพ “เด็กยากจนในชนบท” หรือก็คือ “ครัวเรือนภาคเกษตร” ซึ่งมีอยู่ราว 7.8 ล้านคน หรือร้อยละ 40 ของเด็กและเยาวชนทั้งหมดในประเทศไทย โดยครัวเรือนประเภทนี้จะมีรายได้ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และเกือบร้อยละ 20 เป็นครัวเรือนที่อยู่ใต้เส้นความยากจน หรือมีรายได้ต่อหัวไม่ถึง 3,000 บาทต่อเดือน
แม้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรจะเป็นที่คุ้นเคยและทำให้เห็นภาพได้จากสถิติหลากหลายรูปแบบแต่เรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนักคือ “ความไม่แน่นอนในการประกอบอาชีพ” เกษตรกรมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ทั้งจากปัจจัยการผลิต เช่น น้ำ สภาพอากาศ ต้นทุนปุ๋ยและสารกำจัดศัตรูพืช และความเสี่ยงจากโรคระบาดหรือศัตรูพืช ซึ่งสถานการณ์จะยิ่งเห็นชัดขึ้นในครัวเรือนที่อยู่นอกเขตชลประทาน และมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นจากปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) อีกทั้งราคาผลผลิตก็ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับตลาดโลก
“ถ้าเราดูข้อมูลย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นเลยว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณผลผลิตและราคาผลผลิตในแต่ละปีอาจสูงได้ถึง 9-10% ในปีที่สูงที่สุด ปี 2563 ปริมาณผลผลิตลดลงถึง 15% ภายใน1 ปี ในขณะที่ปี 2556 ราคาผลผลิตก็ลดลงมากประมาณ 10% ภายในปีเดียวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนว่าเขามีรายได้ไม่แน่นอน
และในขณะเดียวกัน มาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ที่มักจะออกมาในรูปแบบของเงินอุดหนุนเกษตรกร โครงการที่เรารู้จักกันอย่างดีก็ เช่น โครงการรับจำนำข้าว
หรือประกันราคา-ประกันรายได้เกษตรกร ก็มักจะไม่สามารถเป็นเบาะรองรับ เป็นหลักประกันความไม่แน่นอนทางรายได้นี้ได้ เพราะว่าเงินอุดหนุนส่วนใหญ่มักจะจ่ายไปยังเกษตรกรรายใหญ่มากกว่ารายย่อยที่มีแนวโน้มยากจนรายได้ไม่แน่นอน และเผชิญปัญหาต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลมากที่สุด” วรดร กล่าว
แน่นอนว่าความไม่แน่นอนของรายได้ ย่อมส่งผลต่อเด็กและเยาวชนในครัวเรือน แม้พ่อแม่ผู้ปกครองจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะให้บุตรหลานได้รับผลกระทบเป็นคนสุดท้ายก็ตาม ต้องกู้ยืมเงินมาใช้ด้านการศึกษาที่จำเป็น เช่น ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียนในช่วงเปิดเทอม หรือเด็กต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน ซึ่งแม้จะทำนอกเวลาเรียนแต่ก็ทำให้สภาพร่างกายเหนื่อยล้าจนส่งผลกระทบต่อการเรียน หรือหนักที่สุดคืออาจถึงขั้นต้องหยุดเรียนเป็นการชั่วคราวเพื่อช่วยทำงาน
ที่น่าห่วงกว่านั้นคือ “สภาพความไม่แน่นอนทางรายได้ของครัวเรือน ทำให้เด็กและเยาวชนมองไม่เห็นอนาคต ไม่เชื่อว่าชีวิตของตนเองจะสามารถดีกว่านี้ได้” เมื่อคิดแบบนี้แล้วก็จะไม่กล้าลงทุนระยะยาว เช่น เรียนต่อในระดับสูง เพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนไปจนตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่เลือกที่จะละทิ้งการศึกษาแล้วออกไปหางานทำเพื่อให้มีรายได้โดยเร็วที่สุดมากกว่า แม้หลายครั้งพ่อแม่จะพยายามส่งเสียแล้วก็ตาม
แต่เมื่อดูประเภทของงานในชนบท พบว่า กว่าครึ่งเป็นงานในภาคเกษตร และเกือบทั้งหมดเป็นงานทักษะต่ำถึงทักษะปานกลาง โดยจากการสำรวจพบว่า เด็กส่วนหนึ่งฝันถึงอาชีพทักษะสูงในกลุ่มงานราชการ เช่น ครู พยาบาล ตำรวจ แต่เด็กกลุ่มใหญ่กว่ามองไปที่อาชีพทักษะต่ำถึงปานกลาง เช่น คนทวงหนี้นอกระบบ พนักงานร้านสะดวกซื้อ ร้านค้า ร้านอาหาร งานก่อสร้าง งานโรงงาน งานขับรถ-ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งสินค้า เป็นต้น
“การศึกษาที่เข้าถึงยากและคุณภาพต่ำ เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเรียนไปไม่คุ้มค่า ในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ที่ครัวเรือนเกษตรหนาแน่น เราพบเด็กและเยาวชนมีอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาหลายอย่าง เรื่องหนึ่งคือการเดินทาง สถานศึกษาในพื้นที่ชนบทมีความหนาแน่นน้อยกว่าพื้นที่เมือง ถ้าเราเอาข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการมาเปรียบเทียบ เราจะเห็นว่าในจังหวัดอื่นที่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ความหนาแน่นของสถานศึกษาจะอยู่ที่ประมาณ 0.1 แห่ง ต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. แต่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะอยู่ที่ 0.5 แห่ง ต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. หมายถึงพื้นที่ชนบทมีสถานศึกษาหนาแน่นน้อยกว่าพื้นที่เมืองประมาณ 4 เท่าตัว” วรดร ระบุ
ในการเดินทางไปเรียนของเด็กและเยาวชนในชนบท มีแนวโน้มต้องนั่งรถข้ามอำเภอหรือจังหวัดเพื่อไปเรียน หรือไม่ก็ต้องเช่าหอพักใกล้สถานศึกษา ซึ่งนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และแม้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเรียนต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรจะอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ไม่ต่างจากครัวเรือนในเมืองซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3 มากนัก แต่ต้องไม่ลืมว่าครัวเรือนภาคเกษตรมีรายได้ต่ำกว่าครัวเรือนในเมือง ดังนั้น เงินทุกบาททุกสตางค์สำหรับครัวเรือนภาคเกษตรจึงมีค่ามากกว่าครัวเรือนในเมือง
แต่สิ่งที่ลงทุนไป ผลที่กลับมาก็ดูจะไม่คุ้มค่า เช่น ผลสอบวัดผลนานาชาติอย่าง PISA พบนักเรียนในชนบททำคะแนนได้ต่ำกว่านักเรียนในเมือง โดยจากการสอบ 3 ด้าน (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่าน) แบ่งจากต่ำไปสูงรวม 6 ระดับ ครัวเรือนเมืองที่ได้เพียงระดับ 2 แต่ครัวชนบทต่ำกว่าคือได้ระดับ 1 สะท้อนภาพคุณภาพการศึกษาในชนบทที่ต่ำกว่าในเมือง
นอกจากนั้น เนื่องจากเด็กและเยาวชนในครัวเรือนเกษตรมักอยู่กับผู้ปกครองที่เป็นคนรุ่นปู่ย่าตายายซึ่งมีระดับการศึกษาต่ำ ก็เป็นข้อจำกัดในการส่งเสริมการศึกษาของคนรุ่นหลานด้วย อีกทั้งยังขาดความเข้าใจในการเลี้ยงดู ทำให้มักใช้วีธีปล่อยปละละเลย ส่งผลให้เด็กและเยาวชนเกิดปัญหา เช่น ติดอินเตอร์เนตติดยาเสพติด และการที่ผู้ดูแลเป็นผู้สูงอายุ หลายครั้งท้ายที่สุดก็ต้องกลายไปอยู่ในภาวะพึ่งพิง โดยมีเด็กและเยาวชนในครัวเรือนนั้นเองมาดูแล ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตที่ดีซึ่งควรจะได้รับหากมีโอกาสด้านการศึกษา
จากข้อค้นพบข้างต้น มาตรการที่รัฐควรดำเนินการแบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ 1.เติมรายได้พื้นฐานขยายเงินอุดหนุนเด็กวัยเรียนให้ทั่วถึงอย่างเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอนจากรายได้ภาคเกษตร 2.ระบบขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถโรงเรียนหรือรถประจำทางสาธารณะ เพื่อลดต้นทุนการเดินทางและเพิ่มโอกาสในการเรียนและการทำงาน 3.ลงทุนด้านคุณภาพการศึกษา ซึ่งรวมถึงการกระจายอำนาจ เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้เหมาะสมกับพื้นที่ และ4.ส่งเสริมทักษะการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อให้สามารถช่วยผลักดันอนาคตของบุตรหลานได้ดีที่สุด
ยังมีเรื่องของ “เด็กยากจนในเมือง” เป็นอีกกลุ่มที่น่าเป็นห่วงและต้องให้ความสำคัญ ซึ่งจะได้กล่าวถึงในฉบับวันเสาร์หน้า (22 มิ.ย. 2567) โปรดติดตาม!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี