คำว่า “เฟมินิสต์” หรือสตรีนิยม ที่ได้ยินบ่อยครั้งในประเทศไทยในระยะหลังๆ ที่จริงมีการต่อสู้เรื่องนี้มาอย่างยาวนาน ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะแรงงานจนได้มาซึ่งสิทธิสวัสดิการที่ควรจะได้ ที่สำคัญการขับเคลื่อนเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเพศไหน แต่เป็นเรื่องวิธีคิด วิธีมองโลก การใช้ชีวิต และหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ล่าสุดเจ้าตัวได้ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ ตั้งชื่อเก๋ๆ ว่า “เฟมินิสต์แบบบ้านๆ”
ทั้งนี้ นายจะเด็จ ได้เล่าเอาไว้ในการเสวนาเปิดตัวหนังสือ “เฟมินิสต์แบบบ้านๆ” “ชายเป็นใหญ่” ที่จัดโดยมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตนและทีมงานมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลช่วยกันระดมสมอง 2 ปีกว่า ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาเพื่อสื่อสารให้คนที่ได้อ่าน เข้าใจได้ง่ายและมองการต่อสู้ของสิทธิสตรีเป็นเรื่องของทุกคน
โดย มี 3 เหตุผลที่ใช้ชื่อหนังสือ “เฟมินิสต์แบบบ้านๆ”คือ 1.เพื่อต้องการให้เห็นว่า การต่อสู้เรื่องสิทธิสตรีเป็นของทุกคน ไม่ใช่เรื่องขององค์กรผู้หญิง คนงานหญิงคนยากคนจน แต่ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ หรือใครก็ตามที่สนใจสามารถร่วมต่อสู้เรื่องความเสมอภาคทางเพศก็ถือว่าเป็นเฟมินิสต์
2.การเปลี่ยนแปลงสังคมเป็นเรื่องของทุกคน ส่วนคนทำงานด้านพัฒนาสังคมอย่างพวกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สนับสนุนคนเหล่านี้ให้รวมกลุ่มสร้างอำนาจต่อรอง สร้างการเปลี่ยนแปลง เช่น สิทธิการลาคลอด 90 วันของกฎหมายประกันสังคม และกฎหมายอื่นๆ ซึ่งพวกเขาเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ที่เป็นส่วนสำคัญ
3.เราในฐานะคนทำงานพัฒนาสังคมต้องลงไปเรียนรู้กับคนงานหญิง คนยากคนจน คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีสอนในตำรา ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและร่วมต่อสู้ไปกับเขา ในขบวนการเปลี่ยนแปลงไม่มีใครเป็นฮีโร่เพราะทุกคนมีความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงสังคมไปด้วยกัน
“หนังสือเล่มนี้อยากชี้ให้เห็นว่า ผมมีความเข้าใจเรื่องพื้นฐาน เรื่องผู้หญิงคนแรกมาจากแม่ที่สอนให้ทำงานบ้าน หุงข้าวซักผ้า ถูบ้าน ล้างจานที่ผู้ชายต้องทำได้ ถึงเป็นลูกชายคนเดียวก็ต้องทำด้วยและช่วงวัยรุ่นผมก็ไม่ได้เป็นชายชาตรี ไม่กล้าหาญเวลาเพื่อนชกต่อยก็ไม่กล้าไปช่วยเพื่อนเพราะกลัว” นายจะเด็จ กล่าว
ด้าน นางสาวธารารัตน์ ปัญญา ทนายความประจำองค์การ Feminist Legal Support (FLS) ระบุว่า เรื่องสิทธิความเท่าเทียม ความหลากหลายทางเพศ เป็นประเด็นที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจตื่นตัวและให้ความสำคัญ การขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ของคนรุ่นใหม่จึงมีการสอดแทรกเรื่องนี้เข้าไปด้วย ถือว่า ดีขึ้นกว่ายุคก่อนๆ ที่คนเข้าใจเรื่องนี้มีไม่มาก จึงเป็นเพียงการรวมกลุ่มกันเล็กๆ และใช้เวลานานในการผลักดัน แต่สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันถือว่าดีขึ้น คนเข้าใจมากขึ้น อุปสรรคน้อยลง หลายเรื่องมีความก้าวหน้า แต่ไม่ได้สำเร็จทั้งหมดในเรื่องของความเท่าเทียมทางเพศ และยังต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับคนในสังคม2 สิ่งนี้ต้องไปด้วยกัน ถึงจะเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
จะเด็จ เชาวน์วิไล
นางสาวธารารัตน์ ยังพูดถึงหนังสือ “เฟมินิสต์แบบบ้านๆ” เล่มนี้ว่า ตัวเองได้ติดตามอ่านจากนายจะเด็จ ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือ ได้นำเอาหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจมา
นำเสนอ จึงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดความห็นต่อประเด็นนั้นๆ มาตลอด ดังนั้น คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านแน่นอน เพราะเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์การต่อสู้เรื่องสิทธิความเสมอภาคของคนในสังคมในแต่ละช่วงเวลา บอกเล่าเรื่องราวสิทธิ และความเสมอภาคที่เริ่มต้นตั้งแต่ในระดับครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ
ขณะที่ นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว บอกว่า ตัวเองเริ่มเข้าใจคำว่า “เฟมินิสต์”หลังจากที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่จะเด็จ และน้องๆ ในมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ทุกคนสามารถเปิดอกคุยกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่สถานการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ทำกิจกรรมที่สอดแทรกปัญหาจากรากความคิดแบบชายเป็นใหญ่ เป็นต้นแบบของคนเป็นรุ่นพี่ ที่คนเป็นรุ่นพี่ต้องเอาอย่างคือ ไม่ทำตัวเป็นคัมภีร์ เป็นไม้บรรทัดชี้ถูกผิด หรือเป็นคนตัดสินพิพากษา พี่ก็ผิดได้ พลาดได้ ขอโทษ ขออภัยได้ สร้างบรรยากาศที่เสมอภาคในทางความคิด ในการถกเถียง อย่าให้ความอาวุโสใดๆมาบดบังความงดงามของพื้นที่ความคิด
ชูวิทย์ จันทรส
“ส่วนตัวมองว่า เนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ความคิดความเชื่อในสิทธิ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค ปัญหาจากความคิดชายเป็นใหญ่ การต่อสู้ของผู้ด้อยโอกาสผู้ถูกกดทับในสังคม และงานรวมกลุ่ม ซึ่งสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างง่ายๆได้ ด้วยความเรียบง่ายในการนำเสนอจึงคือเฟมินิสต์แบบบ้านๆ ที่ใครๆ ก็เป็นได้ เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้จริงๆ แม้กระทั่งในเรื่องง่ายๆ เช่น งานบ้านที่ผู้ชายเองก็ต้องทำให้ได้” นายชูวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ในวงเสวนายังมีการพูดคุยกันอย่างออกรส โดยบุคคลที่รู้จักมักคุ้นกับนายจะเด็จเป็นอย่างดี แถมยังได้อ่านหนังสือเฟมินิส์ต์แบบบ้านๆ กันมาแล้ว อย่างน้อยก็ 1 รอบ วงเสวนาเลยได้กลายเป็นการวิพากษ์หนังสือกันแบบบ้านๆ ที่สนุกฟังเพลินๆ ใจความสรุปได้ว่าเฟมินิสต์เป็นคำอธิบายถึงการต่อสู้ของคนที่ขาดความเป็นธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพียงเพราะไม่ใช่ผู้ชาย ถือว่าเป็นคำที่แรง แต่พอใส่คำว่า “แบบบ้านๆ” ก็เหมือนกับการย้อนแย้งที่มีเสน่ห์ เพื่อที่จะบอกว่า ใครก็เป็นเฟมินิสต์ได้ และทุกคนควรจะเป็นเฟมินิสต์ หนังสือได้เล่าเรื่องนี้อย่างแนบเนียนผ่านประสบการณ์ของนายจะเด็จตั้งแต่วัยเด็ก ที่ต่อสู้กับ “อำนาจชายเป็นใหญ่” แบบบ้านๆ เหมือนกับช่วงชีวิตของหลายๆ คนที่ผ่านมา เช่น ไม่อยากเรียนสิ่งนี้ ไม่อยากทำสิ่งนั้น เผินๆ ก็เป็นการต่อสู้ค่อนข้างสามัญ แต่กลับไม่ธรรมดา
ธารารัตน์ ปัญญา
ที่น่าคิดคือ “การถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ของคน” ที่หนังสือเล่มนี้ตัวอย่างการเอาแนวคิด ข้อสนับสนุนของความเข้าใจในการสร้างความรู้แบบเฟมินิสต์ให้เป็นตัวเป็นตน ซึ่งมีหลายมิติ อาทิ นักวิชาการมักมองประสบการณ์คนเป็นวัตถุดิบ จึงไม่เล่าต่อโดยตรง ต้องนำมาผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ทางวิชาการ แปลงเป็นทฤษฎี เป็นคำพูดยากๆ เข้าใจยาก ที่สำคัญไม่มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง เพราะนักวิชาการที่วิเคราะห์นั้นมีมาจากการถูกหล่อหลอมมีความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ขณะที่ “นักสตรีนิยม”จะมองประสบการณ์คนเป็นความรู้โดยตรง และไม่ได้เรียกร้องว่า ความรู้ต้องเป็นกลาง ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เอาประสบการณ์คนตัวเล็กๆ มาเล่าต่อตรงๆ ไม่ต้องดัดแปลงหรือถ่ายทอดด้วยภาษายากๆ
“เฟมินิสต์แบบบ้านๆ” จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ควรค่าที่จะอ่าน และควรค่าที่จะถูกนำไปเป็นบทเรียนต่อได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี