“ศาสนาพุทธ” คือรากฐานสำคัญของ “วิถีวัฒนธรรมไทย” เห็นได้จากชุมชนเก่าแก่จำนวนมาก มักเกิดขึ้นโดยมี “วัด” เป็นศูนย์กลาง และบทบาทของ “พระภิกษุสงฆ์” นอกจากจะเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมคำสอนแล้ว ยังต้องเป็นนักพัฒนาชุมชนร่วมกับฆราวาส รวมถึงเป็น “ครู” อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ให้กับเด็กและเยาวชนด้วย โดยก่อนที่จะมีระบบการศึกษาสมัยใหม่ พ่อแม่มักนำบุตรชายที่โตจนพอรู้ความ ไปฝากฝังให้เป็นเด็กวัดบ้าง บรรพชาเป็นสามเณรบ้าง เพื่อให้ได้เรียนหนังสือจนสามารถอ่านออกเขียนได้
และแม้จะมีระบบการศึกษาสมัยใหม่ อันมีโรงเรียนและครูซึ่งเป็นฆราวาสมาทำหน้าที่สอนวิชาความรู้ต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่วัดก็ยังคงมีบทบาทสนับสนุนการศึกษากับเด็กและเยาวชน เปรียบเสมือนเป็น “ตาข่ายทางสังคม” โอบอุ้มกลุ่ม “เด็กยากไร้” ให้มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ลูกผู้ชายชาวไทยหลายคนมีชีวิตวัยเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมหาวิทยาลัยภายใต้สถานะนักบวช จากสามเณรสู่พระภิกษุ ก่อนจะลาสิกขาออกมาประกอบสัมมาชีพในภายหลัง แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่ดำรงอยู่นี้ ก็ทำให้ “รัฐ” ถูกตั้งคำถามว่ายังไม่สามารถดูแลประชาชนได้ดีพอหรือไม่?
ในงานเสวนาสาธารณะ “เด็กและครอบครัวไทยที่ไม่ถูกมองเห็น : รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2024” จัดโดย “คิด for คิดส์” ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กับ 101 PUB เมื่อเร็วๆ นี้ วรดร เลิศรัตน์ ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) กล่าวว่า ประเทศไทยมีสามเณรที่บวชแบบระยะยาวประมาณ 73,620 รูป คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของประชากรไทยอายุ 7-19 ปีทั้งหมด โดยสามเณร 2 ใน 3 อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
“เราจะเห็นได้ชัดว่าจำนวนสามเณรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตโควิด เพิ่มขึ้น 33,510 รูป ในปี 2020 (2563) เกินกว่า 1 เท่าตัว เป็น 7 หมื่นกว่ารูปในปี 2022 (2565) ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้ก็จะสวนทางกับแนวโน้มของจำนวนสามเณรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา การที่จำนวนสามเณรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็คือกว่า 1 เท่าตัวในช่วงโควิดเราก็อาจไม่ได้อธิบายว่าพอมีช่วงโควิดขึ้นมาทุกคนก็สนใจศาสนาหรือว่าศรัทธาในศาสนามากขึ้นอย่างกะทันหัน แต่มันสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลของการบวช
งานสัมภาษณ์และงานภาคสนามที่เราได้คุยกับสามเณรวัยเด็กและเยาวชน เราไม่เจอสามเณรแม้แต่คนเดียวที่ตอบว่าเขาบวชเพราะสนใจหรือเพื่อศึกษาศาสนา แต่ส่วนมากมาจากเหตุ 2 อย่าง สาเหตุอย่างแรกก็คือปัญหาความยากจน การที่ครัวเรือนของเขาไม่มีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูหรือส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่รั้ววัดเพื่อที่จะเข้าถึงอาหารที่อยู่อาศัย ปัจจัยการดำรงชีพจากสถาบันวัด ควบคู่ไปกับการเข้าถึงการศึกษาผ่านโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา”วรดร กล่าว
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า เด็กและเยาวชน อายุ 7-19 ปี กว่าครึ่งหนึ่ง หรือราวร้อยละ 54 อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงเด็ก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 6,375 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่ง วรดร กล่าวว่า ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนจำนวนมากสุ่มเสี่ยงเผชิญสถานการณ์รายได้ไม่เพียงพอ ขณะที่อีกปัญหาที่ใหญ่พอกันคือ “ปัญหาครอบครัวไม่สมบูรณ์” เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เด็กและเยาวชนตัดสินใจเข้าสู่การดูแลของวัด
เช่น พ่อและแม่เสียชีวิต พ่อแม่หย่าร้างไปแต่งงานใหม่ พ่อแม่ทำผิดกฎหมายถูกจับติดคุก พ่อแม่ติดยาเสพติด พ่อแม่มีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงกับลูก หรือการทำงานที่ต้องย้ายพื้นที่ไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่สะดวกที่จะพาลูกไปด้วย และไม่มีญาติคนอื่นๆ ที่เต็มใจและมีทรัพยากรเพียงพอจะอุปการะแทน โดยมีข้อมูลว่า เด็กไทยอายุ 0-14 ปี ราว 1 ใน 4 ไม่ได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ สะท้อนปัญหาครอบครัวในประเทศไทยที่ใหญ่พอสมควร
ถึงกระนั้น “โรงเรียนพระปริยัติธรรมอาจไม่ใช่พื้นที่เหมาะสำหรับพัฒนาการ-การเรียนรู้ตามช่วงวัย” สะท้อนจากข้อมูลที่มีนักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาออกกลางคันในสัดส่วนที่สูง เช่น ในปี 2563 มีสามเณรเข้าเรียนชั้น ม.1 ทั่วประเทศราว 8,000 รูป แต่พบว่าอยู่จนจบ ม.3 อยู่ที่ 5,658 รูป เท่ากับมีสามเณรหลุดออกจากระบบการศึกษาระหว่างทางช่วง ม.ต้น ราวร้อยละ 30 และมีเพียง 4,682 รูป ที่ตัดสินใจเข้า ม.4 หรือหายไปร้อยละ 41.5 ในช่วงรอยต่อกับชั้น ม.ปลาย
“การที่เด็กหรือสามเณรจำนวนมากเลือกที่จะออกจากโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในแง่หนึ่งก็มีสาเหตุหลากหลาย อาจเป็นเพราะสถานการณ์รายได้ครอบครัวเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้น หรืออาจเป็นเพราะเขามีโอกาสทางการศึกษาหรือทำงานอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับ ม.3 ก็อาจจะเลือกออกไปทำงานหรือไปเรียนอาชีวศึกษาแทน แต่หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญมาก อาจจะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากงานภาคสนามของเรา ก็คือสามเณรรายงานว่าพวกเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเติบโตและเรียนรู้ในพื้นที่วัดได้อย่างมีความสุข” วรดร ระบุ
วรดร ขยายความเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า “กรอบทางศาสนาในสถานะความเป็นนักบวช..ในอีกมุมก็เป็นข้อจำกัดต่อพัฒนาการตามวัย” เช่น ไม่สามารถเล่นกีฬา-เล่นดนตรี เดินทางเที่ยวเล่น มีข้อจำกัดในการฝึกทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ การวางแผนอนาคต การตัดสินใจและควบคุมตนเอง การสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อาทิ เป็นสมาชิกในครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงเป็นพลเมืองของรัฐ เป็นต้น เพราะกิจกรรมตามธรรมชาติที่ช่วยฝึกฝนทักษะเหล่านี้ถูกจำกัดในพื้นที่วัด
อนึ่ง “การเรียนรู้ (โดยเฉพาะในวัยรุ่น) อย่างหนึ่งคือเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่สามเณรในฐานะนักบวชถูกคาดหวังว่าต้องไม่ทำผิดเพราะถือเป็นตัวแทนของศาสนา” ดังนั้นการทำผิดพลาดก็เท่ากับสุ่มเสี่ยงที่เด็กและเยาวชนจะถูกกดดันให้ออกจากวัดหรือโรงเรียน เช่นเดียวกับในด้านวิชาการ ก็ยังมีข้อจำกัดในการส่งเสริมอาชีพหากผู้เรียนตัดสินใจลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาส สะท้อนผ่านคำตอบที่ได้รับจากสามเณรที่ต้องการสึกหลังเรียนจบ ม.3 หรือ ม.6 จำนวนมากยังมองอาชีพทักษะระดับต่ำหรือปานกลาง เช่น ก่อสร้าง พนักงานปั๊มน้ำมัน ขายของหาบเร่แผงลอย
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการขาดแคลนทรัพยากร อาทิ สัดส่วนครูต่อห้องเรียนอยู่ที่ 1 ต่อ 1.1 หมายถึงมีครูไม่พอต่อห้องเรียน และส่วนใหญ่ไม่ครบทุกวิชาตามหลักสูตร งบประมาณอุดหนุนรายหัวค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ 1,100-1,130 บาทต่อคนต่อเดือน ดูผิวเผินเหมือนจะสูงกว่าโรงเรียนในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แต่ต้องไม่ลืมว่าโรงเรียนพระปริยัติธรรมเป็นโรงเรียนประจำ งบส่วนนี้จึงครอบคลุมค่ากินอยู่ทุกอย่าง ส่วนกลไกการบริจาคระดมทุนก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะวัดขนาดใหญ่หรือวัดในเมืองได้เปรียบวัดเล็กๆ หรือวัดในชนบท
หรือในด้านทักษะชีวิต สามเณรหลายรูป ยอมรับว่ากังวลหากต้องลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตในฐานะฆราวาส แม้จะตั้งใจไว้แล้วว่าจะสึกหากเรียนจบ เนื่องจากระบบการศึกษาและการอยู่อาศัยในวัดไม่ได้เตรียมความพร้อมไว้ให้ ทั้งนี้ บทสรุปของสำรวจชีวิตและการศึกษาของสามเณรในประเทศไทย คือ “จริงๆ แล้ววัดไม่ควรถูกคาดหวังให้มาทำหน้าที่ดูแลและจัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชน แต่ที่วัดต้องเข้ามาทำก็เพื่ออุดช่องว่างของรัฐที่ยังไม่มีสวัสดิการครอบคลุมเพียงพอ” ทั้งในแง่ทุนการศึกษาและสถานที่รองรับเด็กและเยาวชนที่ไม่สามารถอยู่กับครอบครัว
“ถ้ารัฐสามารถแก้ปัญหาความยากจนในครัวเรือน เปิดโอกาสให้สามารถเลี้ยงดูและอยู่พร้อมหน้ากันได้มากขึ้น ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการที่รัฐปล่อยให้เด็กถูกบีบไปอยู่ในพื้นที่ของวัด ในขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเพิ่มโอกาสและลดต้นทุนในการเข้าถึงการศึกษาให้ต่ำลงและทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง ในกรณีที่เด็กไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้จริงๆ รัฐก็ควรสนับสนุนการรับอุปถัมภ์เด็กในรูปแบบของครอบครัวอุปถัมภ์ และจัดสถานรองรับของรัฐให้เพียงพอและมีคุณภาพเหมาะสม” วรดร กล่าว
นักวิจัยจากศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) ผู้นี้ ทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันระเบียบของ สพฐ. ยังไม่อนุญาตให้สามเณรสามารถเรียนร่วมกับนักเรียนที่เป็นเด็กและเยาวชนในสถานศึกษาปกติได้ ซึ่งหากแก้ไขในส่วนนี้ ก็จะเปิดช่องให้สามเณรที่ตั้งใจจะลาสิกขาหลังเรียนจบได้เตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในฐานะฆราวาส เมื่อสึกแล้วก็จะสามารถปรับตัวได้ดีกว่าในระยะยาว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี