“ปัญหาเด็กเกิดน้อย หรือว่าปัญหาการลดลงของประชากร คาดว่าทุกท่านในที่นี้ทราบกันดี โดยเราเห็นได้ชัดกับผู้บริหารระดับกระทรวงก็ได้ออกมาพูดถึงปัญหาดังกล่าวมีความต้องการที่จะผลักดันปัญหานี้ให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีแนวทางในการแก้ไขที่ชัดเจน วันนี้อยากจะลองชวนทุกท่านคิดดูว่าการที่เราอยากจะผลักดันและส่งเสริมการเกิดในบริบทและสังคมไทยในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้มาก-น้อยเพียงใด?”
นิธิพัฒน์ ประสาทกุล นักศึกษาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยประชากรและสังคม สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวนำในการบรรยายหัวข้อ “แนวคิดปั๊มลูกเพื่อชาติ กับความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการเกิดในสังคมไทย : ข้อเรียนรู้จากอดีตและบทเรียนจากนานาชาติ” ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 18 “ประชากรและสังคม 2567” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะชวน “ย้อนมองประวัติศาสตร์” ว่าประเทศไทยเคยมีนโยบายด้านประชากรอย่างไรบ้าง
โดยสามารถแบ่งได้ 4 ยุค คือ 1.สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา-ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เน้นการเพิ่มประชากรในเชิงปริมาณ ยุคนั้นเคยมีการบัญญัติไว้ใน “กฎหมายตราสามดวง” อนุญาตให้ “ผู้ชายมีภรรยาหลายคน” และไม่จำกัดจำนวน อีกทั้งยัง “เปิดรับแรงงานที่เป็นผู้อพยพจากต่างชาติ” โดยเฉพาะ “ชาวจีน” เพราะมองว่าประชากรมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ 2.สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุคนี้แม้จะมีการส่งเสริมอัตราการเกิดในเชิงปริมาณ แต่ก็เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพของประชากรด้วย
เช่น ในปี 2485 มีการจัดตั้ง “สำนักงานสื่อสมรส” ขึ้นทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวกลางให้หนุ่ม-สาว ได้มาพบเจอและคบหากัน, ปี 2486 มีการจัดงานวันแม่แห่งชาติ ซึ่งมีกิจกรรมการประกวด “แม่ลูกดก” เพื่อส่งเสริมการมีลูกจำนวนมาก และกิจกรรม “อนามัยลูก” เพื่อให้ความรู้เรื่องการดูแลบุตรกับสตรีวัยเจริญพันธุ์, ปี 2487 รัฐไทยมีนโยบาย “ภาษีคนโสด” โดยเก็บภาษีกับพลเมืองชายที่ไม่มีภรรยา ในอัตราสูงกว่าพลเมืองทั่วไป, ปี 2499 มีการออกกฎหมาย “พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้มีบุตรมาก” เพื่อช่วยเหลือครอบครัวขนาดใหญ่
3.สมัยหลังกึ่งพุทธกาล ยุคนี้นโยบายประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนไปสู่การลดอัตราการเกิด เริ่มตั้งแต่“ปี 2501 “ธนาคารโลก (World Bank) ได้ทำการศึกษาประเทศไทย และออกคำเตือนว่า หากไม่มีนโยบายควบคุมประชากร จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายในอนาคต” ซึ่งคำเตือนนี้จะส่งผลต่อการจัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเวลาต่อมา, ปี 2513 คำว่า “การวางแผนครอบครัว” เริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกในนโยบายของรัฐไทย,
ปี 2514 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในขณะนั้น ได้มีมติให้มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้ง สถาบันวิจัยประชากรและสังคม โดยมีภารกิจในการติดตามและประเมินนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนามัยเจริญพันธุ์และการวางแผนครอบครัว นอกจากนั้นยังเริ่มมีการรณรงค์ภายใต้คำขวัญ “มีลูกมากจะยากนาน” หรือ “มีลูกมากจะยากจน” แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในความพยายามให้คนไทยมีลูกน้อยลง,
ปี 2517 มีชัย วีระไวทยะ เริ่มรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะการใช้ “ถุงยางอนามัย” ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งการคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, ปี 2526 มีการออกคำขวัญ “หญิงก็ได้ ชายก็ดี มีแค่สอง” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยกำหนดจำนวนบุตรต่อครัวเรือนที่เหมาะสม,ปี 2535 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตอย่างมาก นโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นนอกเหนือจากการควบคุมอัตราการเกิดแล้ว ยังเน้นการพัฒนาคุณภาพประชากรในฐานะ “ทรัพยากรมนุษย์” ด้วย
และ 4.ยุคปัจจุบัน ซึ่งนโยบายของรัฐไทย “หวนกลับไปสู่การกระตุ้นเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด” เริ่มต้นขึ้นในปี 2558 รัฐบาลขณะนั้นมองเห็นปัญหาหากปล่อยให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง เริ่มมีนโยบายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและสนับสนุนการเลี้ยงดู โดยคาดหวังว่าจะทำให้คนไทยมีลูกกันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ โดยประชากรไทยมีแนวโน้มลดลงตามสถานการณ์ของประชากรโลก
ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 2564 พบว่า จากทั้งหมด 197 ประเทศทั่วโลก มี 69 ประเทศ ที่มีนโยบายลดภาวะเจริญพันธุ์ ในขณะที่อีก 55 ประเทศ มีนโยบายส่งเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ส่วนอีก 19 ประเทศ มีนโยบายคงระดับภาวะเจริญพันธุ์ โดยในกลุ่มประเทศที่ส่งเสริมภาวะเจริญพันธุ์ เช่น ฟินแลนด์ มีนโยบายมอบกล่องสำหรับเด็กเกิดใหม่และเงินอุดหนุนรายเดือน,เอสโตเนีย มีนโยบายเงินอุดหนุนผู้มีบุตรมาก,
ฝรั่งเศส เน้นเรื่องสิทธิลาคลอด ที่ให้ลางานได้นานถึง 16 สัปดาห์, สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มีนโยบายคล้ายๆ กัน เรื่องเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและอุดหนุนรายเดือน, ฮ่องกง มีนโยบายจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่กำลังจะมีบุตรหรือมีบุตรมาก เป็นต้น “อย่างไรก็ตาม ความพยายามของประเทศต่างๆ กลับประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย หรือเพียงระยะสั้นๆ ในการเพิ่มหรือรักษาอัตราการเกิด” เมื่อเวลาผ่านไป อัตราการเจริญพันธุ์ก็ลดลง ชี้ให้เห็นว่า ความหวังของรัฐบาลที่จะให้พลเมืองในประเทศของตนเองมีลูกเพิ่มขึ้น ไม่อาจทำได้โดยง่ายเหมือนในอดีต
นิธิพัฒน์ กล่าวถึงข้อท้าทายว่า “ในวันที่คนมีลูกน้อยลงอีกทั้งค้นพบข้อดีของการไม่มีลูก..การจะเปลี่ยนทัศนคติจำเป็นต้องใช้มาตรการที่หลากหลายมากขึ้น” ดังนั้นประเทศไทยต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมากขึ้น มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีสวัสดิการ มีนโยบายเศรษฐกิจและรายได้ อย่างที่เรียกว่า “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ส่วนคำถามว่า รัฐยังควรมีนโยบายส่งเสริมการเกิดอีกหรือไม่? เพราะตัวอย่างที่ผ่านๆ มา พบว่าได้ผลน้อย สำหรับตนมองว่ายังจำเป็น เพราะแม้จะกระตุ้นได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังส่งผลดีต่อกำลังในการพัฒนาประเทศ
อีกด้านหนึ่ง รศ.ดร.มนสิการ กาญจนจิตรา นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายหัวข้อ “เพิ่มเกิดหรือชะลอแก่ : แนวทางแก้ปัญหาสังคมสูงอายุอย่างยั่งยืน” เปรียบเทียบ 2 นโยบายสำคัญด้านประชากร คือการเพิ่มอัตราการเกิด เพื่อให้มีประชากรมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับการสนับสนุนการสูงวัยอย่างมีพลัง (Active Aging) หมายถึงทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี สามารถมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องทั้งทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
การศึกษาเรื่องนี้ ใช้สมมุติฐานว่า “วัยเด็กและวัยสูงอายุคือวัยพึ่งพิง” โดยมีวัยแรงงานเป็นผู้ดูแล แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าตัวชี้วัดนี้ใช้ตัวเลขอายุเป็นเกณฑ์ เพราะหลายคนแม้อายุมากแล้วแต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ไม่ได้เป็นวัยที่ต้องพึ่งพิงเสมอไป แต่การใช้ตัวชี้วัดดังกล่าวก็พอสะท้อนให้เห็นภาพได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ มีข้อค้นพบว่า 1.หากเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์ได้สำเร็จ เช่น สัก 0.5 คิดเป็นประชากรเกิดใหม่คือ 2.7 แสนคนต่อปี “ผลดีต้องรอนานกว่าจะเห็น แต่เฉพาะหน้าคือวัยแรงงานจะแบกรับภาระหนักดูแลทั้งผู้สูงอายุและเด็กเกิดใหม่” โดยคาดว่าต้องรอกันถึง 30 ปี
2.หากทำให้ผู้สูงอายุสูงวัยอย่างมีพลังได้สำเร็จ ขยายอายุของผู้สูงวัยในการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ในสังคมออกไปได้ “ผลดีจะเกิดขึ้นทันทีคือลดภาวะการพึ่งพิง” แต่จะไม่ส่งผลใดๆ ต่อการเพิ่มประชากร และ 3.สังคมสูงวัยคือชะตาที่ประเทศไทยไม่อาจเลี่ยง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีนโยบายใดๆ ในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยก็ต้องเผชิญสถานการณ์จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอยู่ดี
“ข้อเสนอแรก เราควรให้ความสำคัญกับนโยบายเรื่องการส่งเสริมการสูงวัยอย่างมีพลัง หรือ ActiveAging เพราะตรงนี้จะส่งผลต่อการลดภาระการดูแลวัยพึ่งพิงได้อย่างตรงจุด ผ่านนโยบายเพิ่มโอกาสการจ้างงานของผู้สูงอายุ การขยายอายุเกษียณ การสร้างเสริมสุขภาพในประชากรทุกช่วงวัย ส่งเสริมการใช้ชีวิตที่กระฉับกระเฉง การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการพึ่งพาตัวเองของผู้สูงอายุ
อันที่สอง เรื่องนโยบายส่งเสริมการมีบุตรยังมีความสำคัญ แต่เราต้องทำควบคู่ไปกับนโยบายสนับสนุนวัยแรงงาน โดยเฉพาะใน 30 ปีข้างหน้านี้ ถ้าเราสามารถที่จะส่งเสริมการเกิดได้สำเร็จจริงๆ ภาระที่จะเกิดขึ้นกับวัยแรงงานในช่วง 30 ปีก่อนที่จะเห็นผล เป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องให้ความสนับสนุนมากในการดูแลประชากร 2 รุ่น เพราะจะเกิดผลกระทบไม่ว่าจะทางสุขภาพกาย-สุขภาพจิต การทำงานและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่ต้องดูแล เป็น Double Burden (ภาระ 2 ด้าน)” รศ.ดร.มนสิการ กล่าว
รศ.ดร.มนสิการ ยังกล่าวอีกว่า ไม่ว่าประเทศไทยจะดำเนินนโยบายแบบใด แต่สิ่งที่ต้องทำคือ “เตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับผู้สูงอายุ” เช่น ที่อยู่อาศัย สถานพยาบาล เพื่อรับมือสถานการณ์ที่ประชากรสูงวัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี