เดิมพันด้วยชีวิต‘ประสิทธิ์ชัย’ กับการเดินทางเพื่อปลดพันธนาการ คืนอิสรภาพ‘กัญชา’
เมื่อการประกาศกัญชาออกจากยาเสพติดยังเป็นวลีการเมืองที่มองเป็นลมเพลมพัด รัฐบาลชุดไหนมีอำนาจก็ผลักดัน เมื่อการเมืองเปลี่ยน ข้อตกลงก็สามารถเปลี่ยนรัฐมนตรีกัญชาอย่างอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ผลักดันกัญชาถึงกับออกปากว่า ตอนที่เขาพยายามปลดกัญชาออกจากยาเสพติด คือ บรรดาหมอในกระทรวงก็เห็นด้วย ทั้งๆช่วงของเขามีการกระจายคลินิกกัญชาไปทั่วประเทศ มีการแจกน้ำมันกัญชารักษาโรคภัยอย่างทั่วถึงและมีพัฒนาการการผลิตกัญชาทางการแพทย์ ออกมาหลายกลุ่มหลายพื้นที่ ภายใต้องค์ความรู้ทางการแพทย์ที่กัญชามี
วันนี้สายลมทางการเมืองเปลี่ยนแปลง รัฐมนตรียุติธรรมที่เคยให้กระท่อมออกจากยาเสพติด กลายเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขที่กำลังจะเอากัญชากลับเข้าไปเป็นยาเสพติด
ประสิทธิ์ชัย หนูนวล ในนามเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย เขาเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตตนเองแลกกับการต้านอำนาจรัฐที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนสารพัดโครงการใหญ่ระดับชาติ ทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน ท่าเรือ เหมืองหินกระบี่ และแทบจะนึกไม่ออกเลย ว่าปัญหาการไม่ฟังเสียงประชาชนเรื่องใดบ้างที่ชายคนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และทุกครั้งที่ต้องลงพื้นที่ต่อสู้เขาจะเตรียมข้อมูลทั้งวิชาการ ปากคำผู้คน กฎหมายที่สามารถใช้ในการยื่นเรื่องคัดค้าน และเหตุการณ์ในการต่อสู้กับความจริงที่อีกฝ่ายไม่อยากให้ใครรู้ แต่ชายคนนี้ลงมือกับความจริงเหล่านี้
ประสิทธิ์ชัยในฐานะกลุ่มเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยเคยกล่าวถึงการหนุน พ.ร.บ.กัญชาว่า “หัวใจสำคัญที่เราเสนอ คือ ให้กฎหมายกัญชาเป็นแม่แบบที่ชี้ทิศทางของกัญชาไทย โดยให้มาตรการที่เป็นการรักษาภูมิปัญญาการใช้กัญชาในทางยาของครัวเรือน และให้ออกมาตรการควบคุมที่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยเฉพาะมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ยังเสนอว่าห้ามมีมาตรการกีดกันประชาชนในการปลูก และให้กำหนดการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีมาตรการชัดเจนไม่เกิดความตีความให้เจ้าหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์”
เขากล่าวอีกว่า การที่เราต่อสู้กัญชามานานตั้งแต่ 9 มิถุนายน ปี 2565 เพราะการเคลื่อนไหว 2-3 ปีที่ผ่านมา เราอบรมทำยาน้ำมันกัญชา เราสร้างเครือข่าย เราเห็นคุณค่าของกัญชา เราร่วมกันเขียนกฎหมาย ทำ พ.ร.บ.กัญชา ที่จะย้ำ คือ กัญชาเป็นยาสำหรับชาวบ้านซึ่งจริง ๆ เขารู้มานานแล้วเพราะมีตำรับยากัญชามากมายมาหลายพันปี อันนี้พูดเมื่อไหร่ ให้ส่งหลักฐานทางวิชาการก็มีให้เห็น จนถึงขั้นยาที่ผลิตจากกัญชาในต่างประเทศ สิทธิที่พูดถึงนี้จึงเป็นสิทธิการเข้าถึงยาที่ประชาชนควรมี เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรมี คือการเข้าถึงยาถึงสมุนไพร เพราะกัญชาคือสมุนไพร
เมื่อสิทธิตรงนี้หายไป ก็คือมีคนขโมยสิทธิของเราไป เพราะรัฐมนตรีสาธารณสุขคนปัจจุบันกำลังจะเอากัญชากลับเข้าไปเป็นยาเสพติด เขาก็จะบังคับโดยกฎหมาย ซึ่งก็หมายความว่ามีคนบางกลุ่ม เท่านั้นที่จะใช้กัญชาได้ เป้าหมายตรงนี้จึงเป็นการคืนสิทธิพื้นฐานให้กับประชาชน
“เราได้นำน้ำมันกัญชาไปช่วยเหลือผู้คนมามากมาย โดยเฉพาะโรคพื้นฐานต่างๆ จนถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง ในสภาวะสังคมปัจจุบันเราต้องเผชิญกับโรคภัยมากขึ้น กัญชาจะเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน เพราะประสบการณ์ของเรา มันพิสูจน์มานานมาก เราพยายามทำให้ประชาชนมองกัญชาในหลากหลายมุมมากขึ้น เราเองก็พยายามรวบรวมนักวิชาการเพื่อใช้ข้อมูลในการนำเสนอรัฐบาล ในการแสดงผลให้เกิดการรับรู้และยอมรับให้รัฐตัดสินในขั้นต่อไป ความหวังเรามีอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยข้อมูลที่เรามี และเชื่อว่าถ้าตั้งได้ลงมือพิสูจน์กันจริง ๆ เราเชื่อว่าจะมีโอกาสที่เขาจะยอมรับได้” ประสิทธิ์ชัย กล่าว
เป้าหมายการเดินหน้าผลักดันของชายคนนี้ ทั้งการเดินสายเสวนา กิจกรรมให้ความรู้ผ่านการลงพื้นที่เรียนรู้หมอยากัญชาในพื้นที่หลายแห่ง ด้วยความเชื่อว่า กัญชาเป็นพืชที่มีคุณค่าทางยา และถูกพิสูจน์มาทุกรูปแบบทั้งชีวิตคนใช้กัญชา ทั้งปราชญ์ชาวบ้าน ทั้งวงการแพทย์สากล ปัญหาคือ ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นความจริงที่ไม่เคยถูกนำเข้าไปตัดสินเพื่อผ่าน พ.ร.บ.กัญชา ไม่เปิดโอกาสให้มีเวทีกลาง แม้กระทั่งบรรดาคนกระทรวงสาธารณสุขที่มีอำนาจเคยให้ผ่านกฎหมายกัญชา วันนี้ยังไม่เคยคิดต่อสู้
สิ่งที่ประสิทธิชัยทำได้เวลานี้ คือ การอารยะขัดขืนด้วยการลงถนนหน้าทำเนียบ
10 กรกฎาคม 2567 เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย นำโดย นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล, นายอัครเดช ฉากจินดา ประกาศยกระดับการชุมนุมด้วยการอดอาหารประท้วง และได้ย้ายที่นอนไปยังบริเวณประตู 2 หน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับอ่านแถลงการณ์ เพื่อส่งเสียงไปยังรัฐบาลว่า...
“ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นยารักษามนุษยชาติมาตั้งแต่หมื่นปีที่แล้ว มาวันนี้กำลังถูกมนุษย์พวกหนึ่งใช้ความละโมบของตัวเองเพื่อครอบครองต้นไม้ต้นนี้แต่เพียงผู้เดียว วิธีการผูกขาดผลประโยชน์จากต้นไม้ต้นนี้ คือ การนำมันไปขังไว้เพื่อไม่ให้ผู้ใดมีส่วนในการใช้ประโยชน์ได้อีก
ต้นไม้ต้นนี้ถูกขังคุกมากว่า 50 ปีและเมื่อปี 2565 ได้มีการปล่อยต้นไม้ต้นนี้ออกจากคุกคุมขังเพื่อให้มาอยู่กับสังคมได้ ในระหว่างที่ต้นไม้ต้นนี้ใช้ชีวิตร่วมกับสังคมในช่วงสองปีที่ผ่านมากลับถูกกล่าวร้ายตลอดเวลาว่าเป็นสาเหตุแห่งความคลั่งของมนุษย์ สองปีที่ผ่านมาแทนที่สังคมจะทำความเข้าใจกับต้นไม้ต้นนี้ กลับกล่าวร้ายต่อมันโดยไม่ได้รู้จักมัน ไม่เคยสัมผัสมัน แต่ทว่าตัดสินมันด้วยอคติ และคำตัดสินนี้กำลังนำต้นไม้ต้นนี้กลับไปขังคุกอีกครั้ง มันเป็นธรรมแล้วเช่นนั้นหรือ”
การอดอาหารประท้วงของประสิทธิชัยและอัครเดช เป็นอารยะขัดขืนที่กำลังจะบอกกับสังคมว่า ความจริง กำลังถูกละเลย ข้อเท็จจริงควรได้รับโอกาสในการศึกษาในรูปแบบคณะกรรมาธิการศึกษาร่วมเพื่อให้เหตุผลและความจริงได้ถูกทำให้สังคมรับรู้ เพื่อให้ปราศจากอคติทางการเมืองเพียงเท่านั้น แต่ประเทศนี้ก็ทำให้เห็นเสมอว่า พื้นที่แสดงออกทางความจริงของประชาชนไม่เคยทำให้รัฐหันมาสนใจมากนัก ทั้ง ๆ ที่ทุกคำก็อ้างประชาชนเสมอมา เขาทำทุกอย่างทั้งยื่นหนังสือ ขอคุยกับรัฐมนตรีเพื่อหาทางออก แต่ไม่ได้รับความสนใจ การใช้อารยะขัดขืนด้วยการอดอาหาร เพราะความรุนแรงเป็นสิ่งที่เขาไม่เลือกมาใช้ แต่เป็นการแสดงออกทางจิตวิญญาณที่แน่วแน่
“เพื่อเป้าหมายของเรา คือ อยากให้มีกฎหมายควบคุมกัญชาเฉพาะ แต่รัฐบาลอยากจะควบคุมด้วยกฎหมายยาเสพติด ซึ่งก็จะมีคนบางกลุ่มได้ประโยชน์ คือกลุ่มที่ปลูกได้ คนที่สั่งจ่ายกัญชาได้ก็คือกลุ่มแพทย์ปัจจุบันที่เป็นกลุ่มรังเกียจกัญชาอยู่แล้ว ที่สำคัญคือประชาชนไม่สามารถรักษาด้วยกัญชาได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็เคยช่วยเหลือคนด้วยกัญชามาแล้ว”
วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ที่นำโดยนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายฯ ที่ได้มาปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล เป็นวันที่ 12 นับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2567 หลังคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดเห็นชอบให้พืชกัญชา และกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด และ 2 แกนนำเครือข่ายฯ ได้แสดงท่าทีด้วยการอดอาหารประท้วงถึง 10 วันติด ได้ออกแถลงการณ์ ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว หลังพอใจท่าทีรัฐบาลจากคำสัมภาษณ์ของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส ว่า ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน เพราะคณะกรรมการที่นำกัญชาออกจากยาเสพติดก็เป็นคณะกรรมการที่กำลังจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ทำให้การอดอาหารตลอด 12 วันที่ผ่าน ถือว่าสร้างความพอใจให้กับพวกเขา
และยังระบุถึงสิ่งที่จะทำต่อไปว่า จะการตั้งกรรมการประชาชนขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อจัดทำข้อมูลนำเสนอต่อสาธารณะ รวมทั้งต่อผู้ที่มีบทบาทในการกำหนดสถานะกัญชาคือนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นกรรมการที่จะต้องมีมติในการนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดหรือไม่ โดยคณะกรรมการประชาชนจะประกอบด้วยภาควิชาการโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนภาควิชากัญชา แพทย์ผู้ทำงานด้านกัญชา นักปลูก ผู้ประกอบการ รวมทั้งจะเชิญผู้ที่มีความเห็นต่างทั้งชมรมแพทย์ชนบท หรือกลุ่มเยาวชนที่ต้องการให้นำกัญชากลับสู่ยาเสพติดมาร่วมในกรรมการ โดยจะเร่งให้มีกรรมการชุดนี้เกิดขึ้นภายใน 7 วัน นับจากวันนี้และเร่งให้เกิดการศึกษาข้อเท็จจริงด้านต่างๆ ให้เสร็จสิ้นภายในสองเดือน เพื่อให้ทุกฝ่ายรับรู้และใช้ข้อมูลกำหนดสถานะกัญชา เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยตั้งใจจะจัดทำการสื่อสารข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้สาธารณะรับทราบเป็นระยะ เพราะเราเชื่อว่าการรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในกระบวนการกำหนดสถานะกัญชาว่าควรควบคุมโดยกฎหมายรูปแบบใด
เรายืนคุยกับประสิทธ์ชัยด้วยสภาพที่อิดโรย แต่ใบหน้าเขาไม่เคยหมดหวัง การตัดสินใจนำพาชีวิตมาเสี่ยงกินนอนอดอาหารตลอด 12 วันเป็นหนทางที่คนเล็กๆ อย่างเขาทำได้เพียงเพื่อให้คนที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศหันมารับรู้ว่า “เขาแค่ต้องการปกป้องยาของชาวบ้าน สิทธิการเข้าถึงคุณภาพชีวิตพื้นฐานที่พืชอย่างกัญชาให้ได้” และการนำข้อมูลทางวิชาการมาพิสูจน์ผ่านคณะกรรมการที่เป็นกลางทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำข้อเท็จจริงออกสู่สายตาของผู้คน สิ่งที่เขาเรียกร้องมันมีผลต่อคนยากคนจน ที่มีความเจ็บป่วย และขอสิทธิการเข้าถึงยาของพวกเขาคืน และไม่ว่าเสียงของเขาจะไม่ดังมากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรในชั่วข้ามคืน แต่สิ่งที่ประสิทธิชัยมีในทุกสนามอยู่เสมอ คือ...
การแบกความหวังของผู้คนที่ทุกข์ยากไว้...
...และบ่อยครั้งทุกการกระทำของเขาเป็นไปเพื่อคนนับล้านที่เป็นคนไทย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี