"พระราชวชิรภาวนาโกศล"เจ้าอาวาส วัดวีระโชติธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา หนึ่งในผู้สืบทอดมรดกธรรม "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"
"ลูกเอ๋ย ตราบใดมานั่งต่อหน้าพ่อ ลูกพ่อดีทุกคน"
นี่คือธรรมะที่เป็นประโยคสำคัญของพระราชพรหมยาน หรือองค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ที่ถ่ายทอดออกมาโดยพระราชวชิรภาวนาโกศล วิ. (หลวงพ่อองอาจ อาภากโร) เจ้าอาวาส วัดวีระโชติธรรมาราม ตำบลคลองแพ่ง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย โดยพระราชวชิรภาวนาโกศล ยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบางน้ำเปรี้ยว และ เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา แห่งที่ 28 และในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2567 จะมีงานฉลองพัดยศโดย ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้งสมณศักดิ์ราชาคณะ ให้พระภาวนาประชานุกูล ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 12 เจ้าอาวาส วัดวีระโชติธรรมาราม เป็น "พระราชวชิรภาวนาโกศล วิ."
สื่อมวลชนจึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "พระราชวชิรภาวนาโกศล" ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ ชั้นพระราช และ สามารถเนรมิต "วัดวีระโชติธรรมาราม" ให้เป็นวัดที่ประดุจดั่งยกสวรรค์ลงมาบนดิน รวมถึงการได้รับแรงบันดาลใจสำคัญมาจากพระราชพรหมยาน หรือ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี จนนำมาสู่การน้อมนำปฏิปทาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาปฏิบัติ ทั้งในการสร้างวัด และ การเจริญทาน ศีล ภาวนา จนนำมาสู่การปฏิบัติเนกขัมมะในแนวทางมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) โดย "พระราชวชิรภาวนาโกศล" ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
หลวงพ่อฯ (พระราชวชิรภาวนาโกศล) บวชปี 2533 กะว่าจะแต่งงาน เก็บเงินไว้ด้วยสมัยนั้น บวช เก็บเงิน ประหยัด ปีแรกได้เงินเป็นหมื่น พออยู่ไปอยู่มาเจอหลวงพ่อฯ(พระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านก็เทศน์ว่า พระองค์ไหนเก็บเงินของชาวบ้านไปเป็นของส่วนตัวมัน แม้แต่บาทเดียว มันไม่ใช่พระ โอ้โห สะดุ้งวาบเลย คนอื่นเทศน์ก็เฉยๆ มันไม่ถูกจุดหรือยังไงไม่รู้ พอหลวงพ่อฯพูดใครเอาเงินของชาวบ้านไปเป็นของส่วนตน แม้แต่บาทเดียว มันไม่ใช่พระ เปรตในผ้าเหลือง โจรในผ้าเหลือง ปล้นชาวบ้านเขา เราก็หัวร้อนเลย เพราะมโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) เห็นเลยว่า เราซุกเอาเงินอยู่ไว้ใต้ที่นอน อยู่ใต้หมอน ก่อนจะนอนก็ภูมิใจ เป็นอย่างนั้น เจอหลวงพ่อฯก็เลยหมดเลย เหมือนเจอคู่ปรับ ท่านพูดไม่กี่คำเท่านั้น ใจเรากลับเลย บารมีของท่าน
ตอนนั้นบวชใหม่ๆ เราก็คิดแต่เก็บเงินไว้ เพื่อไปแต่งงาน ปีแรกก็ได้ค่าสินสอดแล้ว 4 หมื่น บวชพรรษาที่สองได้เงินอีก บวชอีกสักพรรษาได้เงินซื้อรถสบาย (หัวเราะ) ซื้อรถลงนรกไปเฉยๆ เสร็จแล้วพอมาฟังหลวงพ่อฯ ก็นอนไม่หลับ กลับมาเครียดเลยน่ะ เอ๋ กู ไม่ใช่พระแล้วน่ะ มีแต่คิดเอาแต่ได้ ก็เลย เหมือนบุญ ก็เลยนำมาพัฒนาวัด มาพัฒนาวัดกระทุ่ม ทำให้วัดกระทุ่มหัวปลา บวชที่นั่น และ อยู่มา 14 ปี กะจะเป็นเจ้าอาวาสสักหน่อย หลวงพ่อฯ ท่านทราบ
ต่อมาก็สร้างวัดนกระทั่งหลวงพ่อฯมรณภาพ ก็ได้บารมีหลวงพ่อฯ ก็ได้ศึกษา ก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปอยู่กับหลวงพ่อฯ ตั้งใจว่าจะสอบนักธรรมชั้นเอก 3 ปี ให้จบซะก่อน เราจะได้ไม่มีปัญหา จบนักธรรมชั้นเอกแล้วก็กะว่าจะย้ายไปอยู่วัดท่าซุง สุดท้ายหลวงพ่อฯมาสิ้นก่อน30 ตุลาคม พ.ศ.2534 เรายังไม่ได้สอบนักธรรมเลย ก็เลยแห้วเลย ความคิดเราก็เลยล่มสลายเลย อย่างน้อยได้ไปอยู่วัดท่าซุง มีเชื้อมีสาย ก็ไม่ได้ไปใกล้ชิดหลวงพ่อฯ ก็โดดไปโดดมา ก็แว๊บไปแล้ว แต่พอหลวงพ่อฯมรณภาพแล้วก็เคว้งคว้าง บอกกับหน้าพระศพว่า ชีวิตลูกถ้าอยู่ ถ้ามีบุญวาสนาอยู่ในผ้าเหลือง จะขอสืบสมบัติของหลวงพ่อฯ เท่าที่ทำได้ ให้ลูกหลานได้ดู ขอให้เจริญรุ่งเรือง ทำอะไรให้เจริญรุ่งเรือง ให้สำเร็จผลเทิด ลูกจะอยู่ ก็เรียกว่า ท้าทาย ก็แหม พระสองพรรษาจะไปทำอะไร เราก็คิดไว้แค่นี้ ถ้าชีวิตเรายังมีบุญอยู่ อะไรก็ให้สำเร็จ แปลก ก็ทำสำเร็จหมด จะบอกบุญใครสำเร็จหมด ที่วัดกระทุ่ม เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสหรอก แต่ก็เริ่มสร้างโรงเรียน ได้ 5-6 พรรษา ก็ไปสร้างโรงเรียน ไปคุยกับใคร ใครจะเชื่อ เด็กอายุ 30 กว่า 5-6 พรรษา ไปสร้างโรงเรียนอะไรเยอะแยะ
ปี 2540 เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ให้ไปเป็นประธานเปิดโรงเรียนพระราชพรหมยาน ท่านรู้ ท่านไม่ไป แล้วก็เริ่มาในแนวปฏิบัติที่หลวงพ่อฯท่านสอน หลวงพ่อฯท่านสอนทุกรูปแบบ อย่างคนมาถามว่าแนวไหน มันพูดไม่ได้ แต่หลวงพ่อฯท่านครบเครื่อง หลวงพ่อฯสอนทุกอย่าง ใครถนัดทางไหน ตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา การเป็นนักปฏิบัติหลวงพ่อฯท่านเคร่ง แต่ท่านไม่ได้เคร่งเรื่องรูปแบบ แต่เรียกว่า หลวงพ่อฯ เป็นผู้มัธยัสถ์เรื่องศีล เรื่องธรรม
สิ่งที่เราประทับใจอยู่อย่าง คือ คนเราอย่าไปนึกถึงสิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว มันติดน่ะ นั่งสมาธิไม่ได้หรอก ลองนั่งหลับตาดูสิ ที่มันนั่งไม่ติด เพราะไปนึกถึงความเลวตัวเองนั่นแหล่ะ คนนั่งกัมมัฎฐาน พอมานึกถึงไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ดี มาหลอนอยู่กับเรื่องเก่าๆนั่นแหละ เขาเรียกว่า ฟุ้งซ่าน พอนั่งปั๊บ นึกถึงอยู่อย่างนี้ เคยด่าเขา มันนึกถึงบุญไม่ออก คนมีผัว ก็คิดถ้าผัวกลับมาจะด่าให้ นั่งหยุกหยิกๆอยู่อย่างนั้น ก็ไม่สำเร็จ
เพราะฉะนั้น คำที่เรานึกแล้วสบายใจ แล้วหลุด คือ คำของหลวงพ่อฤาษีที่ว่า "ลูกเอ้ย ตราบใดที่มานั่งยู่ต่อหน้าพ่อ ลูกพ่อดีทุกคน ตราบใดที่มานั่งหน้าพ่อ แสดงว่าลูกของพ่อ ดี สิ่งที่ผ่านมาอย่าไปนึก วันนี้ลูกของพ่อ มานั่งหน้าพ่อ ลูกของพ่อดีทุกคน" โอโห เรานี่ จิตมันวูบขึ้นเลย มันเหมือนอยู่ในเงามืดแล้ววูบขึ้นเลยพอท่านพูดว่า ตราบใดที่ลูกมานั่งอยู่ต่อหน้าพ่อ ลูกของพ่อดีทุกคนลูก สิ่งใดที่ลูกเลวไปแล้ว อย่าได้คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ลูกของพ่อมานั่งอยู่หน้าพ่อ แสดงว่าลูกของพ่อดีทุกคน แต่นี้ไป
มันวูบขึ้นเลย เหมือนเราถูกดึงดวงวิญญาณ หลวงพ่อฯพูดคำเดียว เราก็ตั้งใจ เราจะไม่กลัวความชั่วทั้งหลายที่เคยทำมา เราก็คิดขึ้นทุกวันว่า มานั่งนี้ ดีทุกคน อดีตอย่าไปนึกถึงมัน พอมานั่งตรงนี้ เราดี คำนี้ ลูกของพ่อทุกคนดีหมด เพราะมานั่งต่อหน้าพ่อแล้ว ความเลว ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ อย่าได้นึกถึงมัน ลูกของพ่อดีทุกคน คำว่าลูกของพ่อดีทุกคน คำนี้แหละ มันทำให้วิญญาณเราหาย ไอ้ที่เลวๆทั้งหลาย อย่าไปนึกมัน เพราะที่มานั่งตรงนี้ดีทุกคน แต่พรุ่งนี้ไม่แน่ สิ่งที่เลวไปแล้ว อย่าไปคิด แต่วันนี้ ตั้งหลัก สิ่งที่เลวจะไปนึกมันทำไม มันเศร้าหมอง
ฉันก็คิดแล้วมานั่งอยู่ตรงนี้ บุญ วันนี้ และพรุ่งนี้เป็นของฉันแล้ว ตราบใดยังมีลมหายใจอยู่ ลูกของพ่อดีเสมอ คำนี้
ตรงนี้ ทำให้เราได้ขึ้นเป็นชั้นราช นึกถึงแล้วก็ภูมิใจ แค่นี้ก็ถือว่าบุญกุศลเต็มที่ของเราแล้ว หลวงพ่อฯกว่าจะได้เป็นชั้นราชก็ 70 กว่าแล้ว ตอนนั้นปี 2532 นั่นล่ะเราก็จะอายุ 30 แล้ว ท่านก็เป็นชั้นราช เวลานั่งในวังก็นึกถึงหลวงพ่อฯ เชิญท่านมาเข้าวังด้วยตลอด
คำพูดนี้คำเดียว ตราบใดที่ลูกมานั่งต่อหน้าพ่อ ลูกเป็นคนดี เราก็เลยเชื่อว่าเราเป็นคนดี เราก็เร่งทำในสิ่งที่หลวงพ่อฯทำไว้
เวลาหลวงพ่อฯพูดกับใคร มีคนนั่งอยู่เป็นพัน เหมือนท่านพูดกับเรา และอยู่กับเราแค่สองคน คือเรากับหลวงพ่อฯ
หลวงพ่อดาบสเคยพูดว่า พระที่มาเทศน์ไม่เคยมีใครเหมือนหลวงพ่อฯ ท่านเหมือนพระสารีบุตร มโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) ไม่มีใครสอบได้ จากพระสารีบุตร ก็มีหลวงพ่อฤาษี กำหนดรู้หมด แต่เทศน์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลึกลับ ถ้าไม่จริง หลวงพ่อฯโดนย่ำไปแล้ว หลวงพ่อโดนสอบสวนเท่าไหร่แต่ทำอะไรหลวงพ่อฯไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งเรากำลังฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อฤาษีก็มา ตอนนั้นเราอยู่วัดกระทุ่ม ไปไหนไม่ได้ ห่วง ก็เทคานอยู่ ติดแต่คานวัด ก็นั่งมโนยิทธิ ฝึกเต็มที่แล้วก็ว่าไป ไปไม่ได้2วัน ไปไม่ออก มันนึกถึงคาน สักพักหลวงพ่อฤาษีก็มา มานั่งข้างหน้า ก็ตกใจ ท่านนั่งหน้ายิ้มแปร้ เราก็ยังนึกทำให้เราคิดได้ว่า ไม่กลับแล้ววัดกระทุ่ม วันนั้นแหล่ะ ก็บอกหลวงพ่อที่วัดกระทุ่ม ก็ออกมาเลย ไม่อย่างนั้นมันไปไม่ได้ ก็นั่งทีไรก็เห็นแต่คาน ติดอยู่ที่คานนั่นล่ะ เขากำลังเทเสา เทคานอยู่เราก็ห่วงใช่ไหม แต่ก็ต้องไปอยู่วัดท่าซุง ก็ได้อานิสงส์ หลวงพ่อฯท่านปฏิบัตอย่างไร เราก็ทำตามนั้น เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็เลยถือแนวที่หลวงพ่อฯท่านสร้าง ท่านพัฒนา ท่านสอน เราไม่ได้ดีเท่าไหร่ เราก็เอาตามท่าน ท่านสอน เราก็สอน
เราคงจะไม่ได้ไปเทียบพญาช้างหรอก แต่ว่าจะถือปฏิปทาที่หลวงพ่อฯทำไว้ เพื่อสืบให้ลูกหลานเห็น คือเราเรียนมาแล้ว เรารู้เหตุ พระทุกรูปไม่จำเป็นต้องมีคุณวิเศษ แต่ให้รู้เหตุ ไปศึกษา แล้วเข้าไปให้ถึง แล้วทำให้มันได้ ไม่ต้องไปสร้างใหญ่อย่างเราหรอก ทุกวัดเอาที่เราทำได้ อย่างน้อย โบสถ์ อุโบสถ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่ยาจก พระพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์เต็มองค์ ท่านก็ละทิ้งความเป็นกษัตริย์เข้าสู่ป่า เพราะฉะนั้นก็ต้องทำวัดให้งดงาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี