สิ่งที่นับว่าเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อสุขภาพมากที่สุด ไม่ใช่การมีโรคประจำตัว แต่คือการขาด “การเฝ้าระวัง” ดูแลตัวเองจนต้องกลายเป็นอีกโรคหนึ่งโดยไม่คาดคิดเพราะโรคบางโรคมีความเกี่ยวเนื่องกับอีกโรคด้วยตัวเองทางเลือกที่ดีที่สุดคือการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยงแห่งรังโรค” เพื่อหยุดการพัฒนาต่อเนื่องไปสู่อีกโรค
รศ.ดร.มธุรส ทิพยมงคลกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวิชาการ และอาจารย์ประจำกลุ่มสาขาวิชาพัฒนาสุขภาพ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยมหิดล โดยกลุ่มสาขาวิชาพัฒนาสุขภาพ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ภาควิชาระบาดวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ ร่วมกับ ผู้ทรงคุณวุฒิ กระทรวงสาธารณสุข วิจัยความชุกและปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ติดเชื้อ HIV ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยวิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปสู่การต่อยอดขยายผลในเชิงนโยบายได้
โดยได้รับการตีพิมพ์แล้วในวารสารวิชาการนานาชาติด้านสาธารณสุข “BMC Public Health” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจากการวิจัยทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบจนค้นพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จากสาเหตุสำคัญที่ว่า “เชื้อไวรัส HIV” ส่งผลต่อการอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้น หากไม่สามารถคุมระดับไวรัสได้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น
รศ.ดร.มธุรส ทิพยมงคลกุล
จากการวิเคราะห์เชิงสถิติแบบอภิมาน (Meta-analysis) เพื่อศึกษา “ความเสี่ยง” “ความชุก” และ “อุบัติการณ์”พบอุบัติการณ์ของโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ติดเชื้อ HIV ทวีปเอเชีย-แปซิฟิกสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองลงมาจากผู้ติดเชื้อ HIV ในทวีปยุโรป และทวีปอเมริกา โดยมีข้อสันนิษฐานว่าอุบัติการณ์อาจต่ำกว่าความเป็นจริง (Underestimate) ได้ เนื่องจากงานวิจัยด้านอุบัติการณ์ในทวีปเอเชีย-แปซิฟิกยังน้อยมาก และเมื่อเทียบกับในส่วนของจำนวนผู้ป่วยโรค HIV ทวีปเอเชีย-แปซิฟิกมีมากถึงอันดับ 2 รองจากทวีปแอฟริกา
รศ.ดร.มธุรส ยังได้แสดงความห่วงใยถึงแนวโน้ม “ตัวเลขจริง” ของผู้ติดเชื้อ HIV ในทวีปเอเชีย-แปซิฟิกที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งคาดว่าอาจสูงกว่าสถิติที่ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบอภิมาณ (Meta-analysis) ได้ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันยังคงไม่มีการศึกษา และเฝ้าระวังที่ดีพอในทวีปเอเชีย-แปซิฟิก เมื่อเทียบกับทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป แต่ยังได้ผลลัพธ์ออกมาถึงอันดับที่ 3 และแนะนำผู้ติดเชื้อ HIV ให้เฝ้าระวังดูแลสุขภาพก่อนป่วยเพิ่ม โดยให้รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ เลิกบุหรี่-ดื่มสุรา พร้อมควบคุมระดับน้ำตาล โซเดียม และไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล
โดยก้าวต่อไปทีมวิจัยพร้อมศึกษาปัจจัยสำคัญในผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีความเสี่ยงต่อโรค NCDs เพื่อ “คุมเข้ม” ความชุกและอุบัติการณ์ของ “ภาวะโรคร่วม” ของ HIV และ NCDs พร้อมขยายผลสู่เชิงนโยบายเพื่อให้สามารถออกแบบการจัดบริการแบบองค์รวมได้ต่อไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งติดตามข่าวสารที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ www.mahidol.ac.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี