ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมานายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือภาวะโลกร้อน-โลกเดือด ถือเป็นวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภาวะน้ำท่วม น้ำแล้งที่ไม่สอดคล้องตามฤดูกาล อันคุกคามและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบต่อประชากรกลุ่มเปราะบางเช่น ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ เด็ก กลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานอพยพข้ามชาติ ฯลฯ ที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน โดยรายงาน Emissions Gap Report 2023 ที่จัดทำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) แสดงให้เห็นว่าภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไปด้วยแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น ซึ่งพบว่าในปี 2565 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 57.4 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (GtCO2e) ซึ่งเติบโตร้อยละ 1.2 จากปีก่อนหน้า
โดยภาคพลังงานที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและกระบวนการทางอุตสาหกรรมเป็นภาคส่วนหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คิดเป็น 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน ขณะที่การจัดอันดับขององค์กร Global Climate Risk Index (CRI) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในระหว่าง ปี 2543-2562 โดยพื้นที่ชายฝั่งทะเลถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงของประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ก็เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงสุด และภาคการเกษตรเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบสูงสุด
ทั้งนี้ กสม. เห็นว่า ในการรับมือกับวิกฤตการณ์ดังกล่าว รัฐมีพันธกรณีหลักภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนในการบรรเทาปัญหาและทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ โดยจำเป็นต้องมีการบัญญัติกฎหมายเพื่อป้องกันและตอบสนองต่ออันตรายทางสิ่งแวดล้อมที่อาจหรือขัดขวางการใช้สิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี นโยบายการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบางประการ หากไม่มีการพิจารณาแง่มุมสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนได้เช่นกัน
เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการไฟฟ้าพลังน้ำโครงการพลังงานลมและความร้อนใต้พิภพ หรือ การผลิตแบตเตอรี่ทดแทนรวมถึงแร่สกัด อาจนำไปสู่การแย่งยึดที่ดินของชุมชนท้องถิ่นและทำลายระบบนิเวศที่สำคัญในธรรมชาติ หรือโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันชายฝั่งถูกกัดเซาะที่ปกป้องชุมชนหนึ่งก็อาจทำให้อีกชุมชนหนึ่งมีความเสี่ยงต่อปัญหาการกัดเซาะหรือน้ำท่วม นอกจากนี้ โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มุ่งเน้นเพียงบทบาทของการอนุรักษ์ก็อาจละเมิดสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นได้
โดย กสม. ได้ติดตามการขับเคลื่อนของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์โลกร้อนหรือโลกเดือดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจุบันมีร่างกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ยกร่างโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2) ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ยกร่างและเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกลและ (3) ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต พ.ศ. .... ยกร่างและเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ดังนั้น เพื่อให้การจัดทำกฎหมาย นโยบาย และมาตรการในการจัดการกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสอดคล้องและไม่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน
กสม. จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนข้อเสนอแนะกฎหมายและนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบนฐานสิทธิมนุษยชน เพื่อรับฟังและรวบรวมข้อมูลความเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ จัดทำเป็นรายงานข้อเสนอแนะในการจัดทำกฎหมายที่ตอบสนองต่อวิกฤตโลกร้อนหรือโลกเดือดบนหลักคิดด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างรอบด้านเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ กสม. ได้ร่วมกับองค์กรเครือข่ายจัดให้มีเวทีรับฟังความเห็นจากประชาชนทั้งสิ้น 5 ภูมิภาค
ประกอบด้วย 1.กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อวันที่ 19 ม.ย. 2567 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กรุงเทพมหานคร 2.ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2567 ณ โรงแรมไอบิส สไตล์ เชียงใหม่ 3.ภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2567 ณ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี โดยยังมีกำหนดการจัดเวทีเหลืออีก 2 พื้นที่ คือ 1.ภาคใต้ ในวันที่ 13 ก.ย. 2567 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง จังหวัดพัทลุง และ2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 20 ก.ย. 2567 ณ จังหวัดขอนแก่น
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี