การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนไม่เพียงแต่ต้องเข้าใจพื้นฐานและปัญหาของชุมชน แต่ยังต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบนี่คือสิ่งที่นวัตกรชุมชนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และชาวบ้านใน จังหวัดแพร่ ได้ร่วมกันทำเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมห้อมพื้นบ้านให้มีคุณภาพดีขึ้น คงทนยิ่งขึ้น และมีอัตลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
“พี่เค” วิทวัส นวลอินทร์ นวัตกรชุมชนจากชุดโครงการกรุ่นกลิ่นเสน่ห์ห้อมย้อมห้อมธรรมชาติ สร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยววัฒนธรรมเวียงโกศัย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก บพท. อธิบายว่าเราเริ่มต้นโครงการวิจัยนี้เพราะพบว่า “ผ้าย้อมห้อมธรรมชาติที่ผู้บริโภคซื้อใช้งานมักมีปัญหาสีตกสีซีดเร็ว ซึ่งทำให้ไม่ได้รับความนิยม” และถูกแทนที่ด้วยการย้อมเคมีซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากต้นทุนที่ถูกและกระบวนการที่รวดเร็ว
แต่ขณะเดียวกัน การใช้สารเคมีบางชนิดในการย้อมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ผลิตหากไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ ดังนั้น การผลิตห้อมจากธรรมชาติที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมจึงเป็นทางออกทั้งในเรื่องของสุขภาพ ระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมและการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยทีมวิจัยได้ลงพื้นที่สำรวจปัญหาและรับฟังความเห็นจากชาวบ้าน เพื่อวิเคราะห์และกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผ้าย้อมห้อมมีคุณภาพที่ดีขึ้นมาจาก “การใช้เทคโนโลยีพลาสมา” ซึ่งเป็นการนำอากาศมาทำให้แตกตัวและปล่อยอนุมูลอิสระออกมาเพื่อปรับปรุงพื้นผิวของเส้นใยผ้า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของเส้นใยทำให้ผ้ามีความสามารถในการดูดซึมสีได้ดีขึ้น สีติดทนนานกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันการซีดและป้องกันแสง UV ได้อีกด้วย
“เมื่อเราเอาพลาสมามาใช้กับเส้นใยธรรมชาติ จะเกิดคุณสมบัติที่เรียกว่า “ชอบน้ำ” ทำให้สีธรรมชาติซึมเข้าสู่เส้นใยได้มากขึ้นและติดแน่นกว่าเดิม ผลจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่าผ้าที่ผ่านกระบวนการพลาสมานั้นมีความเข้มของสีที่มากกว่าผ้าที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนี้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่เชื่อว่าจะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์” พี่เค กล่าว
นอกจากการปรับปรุงคุณภาพผ้าแล้ว เทคโนโลยีพลาสมายังทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ขึ้นได้ โดยทีมวิจัยให้ความสำคัญกับการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวของผ้าย้อมห้อม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายเครื่องประดับที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนจังหวัดแพร่ และนำมาปรับเป็นลวดลายบนผืนผ้า ทำให้ผ้าย้อมห้อมของแพร่ไม่เหมือนกับที่ใดในประเทศไทย
วิทวัส เล่าต่อไปว่า โจทย์หนึ่งที่สำคัญคือเราจะสร้างความแตกต่างจากผ้าย้อมห้อมที่ทำกันทั่วไปอย่างไร เราจึงได้นำลวดลายจากเครื่องประดับของชุมชน10 ตำบลในจังหวัดแพร่ มาทำเป็นลายบนผืนผ้า ซึ่งแต่ละลายมีเรื่องเล่าของชุมชนและประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างลวดลายที่โดดเด่น เช่น ลาย “ดอกผักแว่น” ซึ่งเป็นลายดั้งเดิมของตำบลห้วยอ้อ ที่มีลักษณะเฉพาะเป็นดอกผักแว่น 8 กลีบ
หรือ “ลายล้อเกวียน” ของชุมชนบ้านทุ่งโฮ้ง ที่เป็นตัวแทนของการอพยพและเดินทางของชุมชนไทยพวนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเมื่อแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของผ้าและการสร้างอัตลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ได้แล้ว สิ่งที่ทีมวิจัยเน้นหนักอีกอย่างคือ การสร้างเครือข่ายการทำงานที่ยั่งยืนในชุมชน โดยทีมวิจัยไม่ได้เน้นให้ชาวบ้านทำงานทุกขั้นตอนเพียงลำพัง แต่กระจายงานตามความถนัดของแต่ละคน เพื่อให้เกิดการแบ่งปันรายได้อย่างเป็นธรรม
“เราสร้างเครือข่ายการทำงานในชุมชน เริ่มจากคนปลูกห้อม คนสกัดสี ไปจนถึงคนที่ทำลวดลายและตัดเย็บ ทุกคนมีส่วนในการผลิตผ้าย้อมห้อมคุณภาพ ซึ่งสร้างรายได้ให้กับทุกคน ผ่านสายพานการผลิตในแต่ละขั้นตอน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังสามารถทำรายได้จากการทำลวดลายบนผืนผ้า การกัดลาย หรือการขายห้อมเปียก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการย้อมสีให้กับชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดใกล้เคียงได้อีกด้วย” พี่เค ระบุ
เมื่อผลิตภัณฑ์และเครือข่ายพร้อม ทีมวิจัยยังพัฒนาแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.rujiradaphrae.com เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมห้อมเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกผลิตภัณฑ์จากชุมชนเป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการผลิตในปริมาณมาก แต่เน้นการเพิ่มคุณค่าและความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ และขายในตลาดที่มีกำลังซื้อ โดย วิทวัส ให้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ขายไม่ใช่แค่ผ้าย้อมห้อมธรรมดา แต่เป็นงานศิลปะที่ทุกชิ้นมีคุณค่า มีเรื่องราว และแฝงนวัตกรรมเข้าไปในนั้น
แม้ว่างานวิจัยนี้จะใช้เวลามากกว่า 3 ปี ในการพัฒนา แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีในชุมชน ชาวบ้านเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีม การแบ่งหน้าที่ตามความถนัด และการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า พี่เคและทีมงานยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อยอดงานวิจัยนี้ต่อไป โดยเน้นการส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่ต้องแข่งขันกันเอง
“เราพยายามให้ชาวบ้านสร้างแบรนด์และสินค้าเป็นของตัวเอง และไม่ให้เกิดการแข่งขันกันในกลุ่ม เราเชื่อว่าการสร้างความแตกต่างและ
อัตลักษณ์ที่ชัดเจนจะทำให้ชุมชนเติบโตได้อย่างยั่งยืน” พี่เค กล่าวทิ้งท้าย
หมายเหตุ : หน่วยบริหารและจัดการทุนเพื่อการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและความเข้มแข็งของชุมชน ให้มีศักยภาพในการแข่งขัน สามารถพึ่งพาตนเองได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น
หน่วยบริหารและจัดการทุนเพื่อการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี