สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นำเสนอเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำในงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม 2567 ประกอบด้วย“การพัฒนาระบบคาดการณ์สภาพอากาศเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการบริหารจัดการน้ำในช่วงไม่เกินฤดูกาลสำหรับประเทศไทย” ซึ่งมี ดร.กฤตนัย ต่อศรี หัวหน้างานกลุ่มงานภูมิอากาศและสภาพอากาศ ฝ่ายนวัตกรรมสารสนเทศทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เป็นหัวหน้าโครงการ ทำงานร่วมกับศูนย์ภูมิภาคเพื่อการศึกษาด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ทั้งนี้ ระบบการคาดการณ์สภาพอากาศรายฤดูกาลย่อย (S2S) ครอบคลุมช่วงเวลา 2-12 สัปดาห์ อยู่ระหว่างการคาดการณ์ระยะสั้นและรายฤดูกาลหรือรายปี ซึ่งยากต่อการคาดการณ์ที่แม่นยำ ด้วยปัจจัยแปรผันทางบรรยากาศ พื้นผิวดิน และมหาสมุทร ที่หลากหลาย อีกทั้งยังเชื่อมโยงการไหลเวียนของบรรยากาศ ปริมาณความชื้นในดิน และอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดฝนและสภาพอากาศอย่างมีนัยสำคัญคณะวิจัยจึงพัฒนาต้นแบบการคาดการณ์สภาพอากาศระยะรายฤดูกาลย่อย โดยใช้เทคนิคแบบจำลองพลวัตที่ผสมผสานการทำงานระหว่างแบบจำลองบรรยากาศ แบบจำลองพื้นผิวดิน และแบบจำลองมหาสมุทร เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ โดยได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ความเป็นเลิศด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน-สถาบันวิทยาศาสตร์โลก รวมถึงประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อเป็นทางเลือกในการคาดการณ์สภาพอากาศ โดยใช้ข้อมูลดัชนีสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับการแปรผันของอุณหภูมิของน้ำทะเล ลมมรสุม และการเคลื่อนตัวของกลุ่มเมฆฝน ซึ่งเชื่อมโยงกับการแปรผันของสภาพอากาศในประเทศไทย
โครงการนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติ เช่น วางแผนอพยพ จัดเตรียมทรัพยากรฉุกเฉิน และการจัดการน้ำในกรณีของน้ำท่วมหรือภัยแล้ง รวมถึงช่วยให้เกษตรกรใช้ข้อมูลวางแผนเพาะปลูกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ นอกจากนี้ข้อมูลคาดการณ์ระยะรายฤดูกาลย่อยยังมีความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำระดับชุมชนและประเทศ เช่น อ่างเก็บน้ำ เขื่อน หรือระบบชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมหรือภัยแล้ง รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาน้ำในการผลิต เช่น ภาคพลังงานและการเกษตร สามารถใช้ข้อมูลคาดการณ์เพื่อวางแผนใช้พลังงานและทรัพยากรน้ำอย่างเหมาะสม ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ด้าน นายพีระพงศ์ รัตนบุรี หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำ 2 ส่วนบริหารจัดการน้ำ กรมชลประทาน ในฐานะหัวหน้าโครงการ “การปรับปรุงโปรแกรมวางแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อการชลประทาน” กล่าวถึงการพัฒนาโปรแกรม Water Management Planning Program for Irrigation (WaPi) ว่าสามารถคำนวณและวิเคราะห์ปริมาณน้ำที่ใช้จริงได้อย่างรวดเร็วและเที่ยงตรงโดยอาศัยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการแสดงผลผ่านเว็บแอปพลิเคชั่น ทำให้ได้ข้อมูลที่ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์มาช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวางแผนแบบดั้งเดิม ส่งผลให้การจัดสรรน้ำในพื้นที่ชลประทานมีความถูกต้องและแม่นยำมากขึ้นอีกทั้งช่วยลดจำนวนบุคลากรที่ต้องใช้ในการดำเนินงานและใช้งานได้ง่าย จึงเข้าถึงโปรแกรมได้จากทุกที่ทุกเวลาและยังเชื่อมโยงกับ Reservoir Operation System(ROSIM) เพื่อช่วยคาดการณ์สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำได้อย่างแม่นยำ ทำให้การจัดการน้ำของกรมชลประทานและเกษตรกรมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความเสี่ยงจากภัยแล้งและน้ำท่วม
ขณะที่ นายชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ หัวหน้าโครงการระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่แบบมีส่วนร่วม โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรผู้ใช้น้ำและภาคีหน่วยงานระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อให้เกิดระบบฐานข้อมูลน้ำเชิงพื้นที่ใน 4 ภูมิภาคสำหรับวางแผนจัดการน้ำและรับมือภัยพิบัติของพื้นที่ ซึ่งคณะวิจัยได้ช่วยกันพัฒนาแอปพลิเคชั่น “ฝนฟ้าพยากรณ์ท้องถิ่น”ให้ชาวบ้านเก็บข้อมูลอุณหภูมิ ความชื้น น้ำฝน โดยเข้าไปไลน์ OA ที่เป็นฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสอนการติดตั้งกระบอกน้ำฝนอย่างง่าย เพื่อประกอบการวางแผนรับมือน้ำท่วมน้ำแล้งและเตือนภัยล่วงหน้าร่วมกับแอปพลิเคชั่น Epicollect5 วางแผนน้ำประกอบ Thai Water Plan นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชั่นเตือนภัย “ข้อมูลสถานการณ์ความเค็มของน้ำ” ซึ่งแต่เดิมมีจุดวัดที่หน้าอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม แต่ได้ย้ายจุดไปอยู่ที่ปากคลองดำเนินสะดวกในพื้นที่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม คณะวิจัยจึงจัดทำเครื่องวัดน้ำเองในพื้นที่น้ำจืด อำเภอบางคนที อำเภออัมพวา และอำเภอเมือง เพื่อวัดเทียบค่าความเค็ม หากเกินค่ามาตรฐานจะแจ้งให้กรมชลประทานปล่อยน้ำจากเขื่อนเพื่อให้น้ำมีค่าสมดุล สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ของแต่ละอำเภอ เช่น ชาวคลองโคนที่เลี้ยงหอยเป็นอาชีพหลักสามารถบริหารจัดการน้ำและเปลี่ยนมาเลี้ยงหอยในระบบปิดแทนทำให้พึ่งพาตัวเองได้ไม่ต้องรอขอความช่วยเหลือจากรัฐ
กลไกดังกล่าวช่วยให้ อปท. และองค์กรผู้ใช้น้ำลุกขึ้นมาเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดการน้ำเชิงพื้นที่มีข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนเพื่อธรรมาภิบาลในการจัดการน้ำเชิงพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับการประกอบอาชีพ และวางแผนส่งน้ำได้ตรงเวลา ประหยัด ลดความสูญเสียกว่าร้อยละ 20 เพิ่มพื้นที่บริการน้ำโดยใช้น้ำเท่าเดิม สามารถวางแผนประกอบอาชีพและรับมือ “น้ำแล้ง-น้ำท่วม-น้ำเค็ม” และวางแผนปลูกพืชได้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่มีนำไปสู่การเพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี