‘TDRI’เผย ‘รถทัศนาจร’95%ไม่ผ่านมาตรฐานทนไฟ ชี้กฎหมายไม่บังคับย้อนหลัง-แนะรัฐจูงใจเอกชนปรับเปลี่ยน
วัยนที่ 3 ตุลาคม 2567 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่บทสัมภาษณ์ นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI เรื่อง “ระเบิดเวลาบนท้องถนน รถทัศนาจรไม่ผ่าน ‘มาตรฐานด้านลุกไหม้’ กว่าหมื่นคัน” เนื้อหาดังนี้
ทีดีอาร์ไอ เผย มีรถทัศนาจรไม่ผ่าน “มาตรฐานด้านลุกไหม้” ในระบบถึง 95 เปอร์เซ็นต์ จำนวนกว่าหมื่นคัน เปรียบระเบิดเวลาบนท้องถนน เตือน กรมการขนส่งทางบก เร่งติดตามแยกประเภทตรวจเข้มรถเสี่ยงสูงก่อน เสนอรัฐหนุนผู้ประกอบการปรับปรุงมาตรฐานรถ
ดร. สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจรหรือรถรับจ้างไม่ประจำทางภายหลังเกิดกรณีรถบัส 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า แม้ว่ากรมการขนส่งทางบกจะมีความพยายามในการปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารขนาดใหญ่ในหลายประเด็น รวมถึงมาตรฐานด้านการลุกไหม้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่องกำหนดคุณสมบัติด้านการลุกไหม้การลามไฟของวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในรถโดยสาร
แต่ปรากฏว่า ประกาศดังกล่าวถูกเลื่อนการบังคับใช้อยู่เรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเพราะผู้ประกอบการไม่มีความพร้อมในการแบกรับต้นทุนจากการเปลี่ยนไปใช้วัสดุกันไฟที่มีราคาแพง จนกระทั่งสุดท้ายเพิ่งบังคับใช้ได้จริงในปี 2565 แต่กลับไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งหมายความว่าใช้บังคับได้เฉพาะกับรถที่จดทะเบียนใหม่หรือมีการปรับปรุงตัวถังใหม่ในปี 2565 เท่านั้น โดยรถคันที่เกิดเหตุเป็นหนึ่งในกรณีที่ไม่เข้าเงื่อนไขของประกาศฉบับนี้เนื่องจากมีการจดเบียนใหม่ในปี 2561
ดร.สุเมธ ระบุด้วยว่า ในปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มีจำนวน 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มีจำนวน 4,972 คัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคันนี้มีจำนวนเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่า ส่วนที่เหลืออีก 95 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วยและต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี
“ถ้าดูเรื่องวัสดุทนไฟต่างๆ คาดว่ามีรถที่ไม่ผ่าน หรือไม่ได้มาตรฐานใหม่ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดเป็นหมื่นคัน จำนวนนี้แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหาที่วิ่งอยู่บนท้องถนนตอนนี้ เสมือนกับเป็นระเบิดเวลาที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดังนั้น กรมการขนส่งทางบกควรติดตามตรวจสอบรถในกลุ่มนี้ที่ยังวิ่งอยู่ในระบบ เช่น ด้านมาตรฐานทนไฟ การชนด้านหน้า สภาพรถเป็นอย่างไร ติดก๊าซหรือไม่ ฯลฯ โดยเร่งกำหนดมาตรการอย่างเข้มข้นในรถกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงก่อน” ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งฯ ทีดีอาร์ไอ ระบุ
ดร.สุเมธ ระบุด้วยว่า เหตุที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจรซึ่งความเสี่ยงนี้กระทบต่อสวัสดิภาพของประชาชน โจทย์ใหญ่ของรัฐคือจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้รถเหล่านี้มีมาตรฐานด้านวัสดุทนไฟให้ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาร่วมกับผู้ประกอบการให้ปรับปรุงมาตรฐานดีขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจต่างๆ
เช่น การให้เงินช่วยเหลือโดยตรงไปยังผู้ประกอบการ หรืออาจมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทุนในการปรับปรุงมาตรฐานรถ ทั้งการเปลี่ยนวัสดุไวไฟ เช่น เบาะที่นั่ง ม่าน พรม ให้เป็นไปตามมาตรฐาน UNECE ซึ่งคือการใช้วัสดุที่ทนไฟได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟลุกไหม้จะไม่เร็วและแรง สามารถช่วยซื้อเวลาให้ผู้โดยสารหนีออกภายนอกตัวรถได้
สำหรับกรณีระยะเวลาการใช้งานของรถคันเกิดเหตุที่พบว่ามีการจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2513 นั้น ดร.สุเมธ ระบุว่า องค์ประกอบหลักของรถจะมี 2 ส่วน คือ โครงหลัก หรือที่เรียกว่าแชสซี ที่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของรถ ซึ่งอยู่ด้านใต้ตัวรถติดกับโครงล้อ ซึ่งปกติรถขนาดใหญ่จะจดทะเบียนครั้งแรกด้วยแชสซี ซึ่งส่วนนี้มีอายุการใช้งาน 70-80 ปี และอีกส่วน ที่เป็นโครงสร้างที่มีปัญหาคือ ตัวถังรถ
ซึ่งประกอบไปด้วย หลังคา ประตู เบาะที่นั่ง โดยตัวถังรถมีอายุการใช้งาน 8-10 ปีเท่านั้น จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวถังรถหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเป็นหลักว่าต้องการเปลี่ยนหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการกำหนดอายุรถ หรือระยะเวลาการปรับปรุงสภาพรถ มีแต่การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยโดยกรมการขนส่งทางบก 2 ครั้งต่อปี
“ความเสื่อมสร้างความเสี่ยง จะมีการปรับปรุงความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร การตรวจสอบมีความเข้มงวดมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ล้วนเป็นประเด็น เพราะมาตรฐานการติดตั้ง ยังเป็นสิ่งที่มีความท้าทายในการตรวจสอบอยู่ หากการติดตั้งทำโดยช่างผู้ชำนาญการก็จะได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าติดตั้งโดยไม่รัดกุมมากนักก็จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ประกายไฟ ได้” ดร.สุเมธ ระบุ
ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่งฯ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า รถทัศนาจรยังคงต้องมีอยู่ แต่จะต้องแก้ไขในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อทำให้ประชาชนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่จะต้องรีบทำ และควรมีข้อกำหนดให้มีการสื่อสารวิธีการเอาตัวรอดให้กับผู้โดยสารได้รับทราบเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินเหมือนกับการเดินทางด้วยเครื่องบิน ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้มีกระบวนการเป็นข้อบังคับนี้ในรถทัศนาจรทุกคัน ขณะเดียวกันควรยกระดับพนักงานขับรถด้วย
ในส่วนของประชาชนเอง ควรต้องมีความเข้าใจในการเลือกรถที่มีความปลอดภัยเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะรถโดยสารไม่ประจำทาง ไม่ควรจ้างรถสภาพไม่ดีแต่มีราคาราคาถูก อีกทั้งควรต้องสังเกตความพร้อมของอุปกรณ์ความปลอดภัยและประตูหนีไฟ ซึ่งหากผู้บริโภคส่งสัญญาณแบบนี้ ผู้ประกอบการจะเกิดการต้องปรับตัว นอกจากนี้ หากโดยสารรถแล้วรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมไม่ปลอดภัย ต้องรีบแจ้งสายด่วนของกรมการขนส่งทางบกทันที
ขอบคุณเรื่องจาก
https://tdri.or.th/2024/10/safety-standard-bus/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี