ช่วงปลายเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา มี “ประเด็นร้อน” ทางการเมือง นั่นคือ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทาง
การเมือง” โดยมาจากทั้ง “แกนนำฝ่ายค้าน” อย่าง “พรรคประชาชน” และ “แกนนำฝ่ายรัฐบาล” อย่าง “พรรคเพื่อไทย”อย่างไรก็ตาม “ท้ายที่สุดแล้วพรรคเพื่อไทยยอมถอย” โดยอ้างว่า “ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่ม..แต่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค” จึงจะไม่ผลักดันต่อ ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วย หากดันไปพรรคเดียวอาจได้ไม่คุ้มเสีย
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเด็นดังกล่าวกำลังอยู่ในความสนใจของสังคม โดยเฉพาะคำถามว่า “ทำไมต้องเร่งรัดขนาดนั้น?” เพราะอย่างไรเสียรัฐบาลก็มีแผนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับอยู่แล้ว ซึ่ง สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า อย่างแรกคือ “มีหลายคนถูกร้องเรียน” หลายเรื่องก็จ่อคอหอยอยู่
เช่น สส. 44 คน ของพรรคประชาชน ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สมัยที่อยู่กับพรรคก้าวไกล อันเป็นสาเหตุที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ หรือ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมไปถึง เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกร้องเรียนเรื่องมาตรฐานจริยธรรม และแนวโน้มจะมีเรื่องร้องเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งขุดก็ยิ่งเจออยู่หลายคน จนอาจนำไปสู่จุดจบของรัฐบาลได้ จึงต้องรีบแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพราะคนทำงานเด่นๆ ในพรรคร่วมรัฐบาลทั้งปัจจุบันและอนาคตก็มีโอกาสโดนร้องเรียน
แต่เมื่อเดินมาแบบนี้ประชาชนเขาก็ดูออก จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง แม้ว่าจะมีความพยายามชี้แจง เช่น ร่างของพรรคเพื่อไทยที่เสนอแก้ไข 6 ประเด็น จะระบุถ้อยคำว่าการแก้ครั้งนี้ไม่มีผลย้อนหลังกับคดีที่เกิดขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมีผลบังคับใช้ ซึ่งหมายถึงการไมได้นิรโทษกรรมเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องแต่ไปเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แต่จะรับประกันได้อย่างไรว่าแก้แล้วนักการเมืองจะปรับตัวหรือปฏิรูปตนเอง
“เขาก็ไม่ถึงขั้นยกเลิก อันนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมเขานะ อย่างเรื่องจริยธรรมวางกรอบให้ชัดว่าจะเอาขนาดไหน แล้วคดีหมิ่นประมาทถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เหลือ5 ปีได้ไหม คือไม่ถึงขั้นรื้อยกเลิก แต่หลายเรื่องมันไปทำให้กลไกปราบโกงทำยากขึ้น เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเวลาจะวินิจฉัยถอดถอน สส. สว. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ควรใช้เสียงข้างมากอย่างเดียว ต้อง 2 ใน 3 ก็ต้อง 6 เสียงขึ้นไป คำถามคือ 6 เสียงทำได้ไหม ถ้าใช้กลไกใหม่ตามร่างแก้ไขใหม่ต้องใช้ 6 เสียงขึ้น คุณเศรษฐารอด เพราะแกโดน 5 ต่อ 4” นายสุริยะใส กล่าว
ข้อสังเกตประการต่อมาจากนายสุริยะใส “แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยเขียนว่าไม่ให้มีผลย้อนหลัง คือแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะเมื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในสภา ก็อาจมีคนขอแปรญัตติได้” บอกให้มีผลย้อนหลังไปเลย เหมือนกันกฎหมายนิรโทษกรรมเมื่อปี 2556 ตอนแรกร่างมาเพียงต้นซอย ให้นิรโทษกรรม
เฉพาะประชาชนกลุ่มการเมืองทุกเสื้อสี แต่พอเข้าสภาก็ไปลักหลับกันตอนตี 3 เอาคดีทุจริตรวมไปด้วย เลยเกิดการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ขึ้น เพราะมาจากการสอดไส้ในตอนท้าย
อย่างเรื่องการตัดสิทธิ์ทางการเมือง ซึ่งก็มีบางคนถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต แต่ก็มีความพยายามเสนอว่าให้วางกรอบการตัดสิทธิ์ไว้ไม่เกิน 5 ปี ดังนั้น ก็อาจมีคนเสนอไปอีกว่าคนที่โดนตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตไปแล้วก็ให้เหลือเพียง 5 ปี ส่วนการลงมติของศาลรัฐธรรมนูญที่ขอปรับเพิ่มเป็น 2 ใน 3 ตนเข้าใจว่าที่ผ่านมาไม่เคยมี และการยกให้สูงขึ้นก็อาจทำให้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะ 2 ใน 3 คือ 6 เสียงขึ้นไปจากทั้งหมด 9 เสียง ก็ไม่ง่ายที่จะได้เสียงขนาดนั้น
“สุดท้ายกลไกปราบโกงในรัฐธรรมนูญก็จะไม่มีผลในทางปฏิบัติ” เพราะวางกลไกไว้ซับซ้อนขึ้น เช่น อาจจะไปขอแก้ไขให้ใช้เสียง 2 ใน 3 ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป้าหมายของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้คือการลดทอนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. จนทำให้การตั้งคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษาทำได้ยากขึ้นเพราะมีการตรวจสอบคุณสมบัติมากขึ้น
ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ ตนเข้าใจว่าตอนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่บอกว่าเป็นยาแรงปราบโกง ในช่วงที่ยกร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ผ่านการรับฟังความเห็น บางคนถึงขนาดบอกว่าหากเป็นกรณีทุจริตรุนแรงอยากให้ประหารชีวิตไปเลยก็มี คือไม่ใช่จู่ๆ ไปเขียนเอามัน แต่มาจากความรู้สึกของประชาชนที่เห็นว่าต้องเด็ดขาดเสียทีเพราะที่ผ่านมามีช่องให้เล็ดลอดกันตลอด เป็นที่มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ถูกรื้อ ต่อมารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ก็ถูกฉีก
ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จึงต้องแรงขึ้น และนักการเมืองก็กำลังกลัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้แน่นอน เพราะพุ่งเป้าไปที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเข้มข้นที่สุด ซึ่งตนไม่ได้หมายความว่าตนเชียร์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งหมด แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากประชามติของประชาชน ไม่ใช่อยู่ๆ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือ 3 ป. ไปประกาศ ถ้าจำกันได้คือไปโหวตกันว่าเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย จึงเป็นเสียงข้างมาก
“ฉะนั้นจะมาแก้ จะอาศัยเสียงข้างมากในสภา 250 เสียงเกินกึ่ง เพื่อไทยรวมกับพรรคประชาชน อาจจะเป็น 290 สมมุตินะ มันต่างอะไรกับที่คุณบอกว่านายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง โดนตัดสิทธิ์โดยคน 9 คน จะต่างอะไรกับการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ซึ่งมาจากคน 14 ล้านคน คุณจะแก้โดยคน 250 คนได้อย่างไร ก็ต้องไปทำประชามติ อันนี้มันก็เป็นตรรกะเดียวกัน” นายสุริยะใส กล่าว
อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชวนมองบทเรียน “การใช้เสียงข้างมากจัดการในประเด็นที่มีความอ่อนไหว” ไล่ตั้งแต่ยุครัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ช่วงปลายปี 2548 – ต้นปี 2549 ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก จึงประกาศยุบสภาในจังหวะที่ฝ่ายค้านกำลังเตรียมเปิดอภิปรายว่าการขายหุ้นนี้มีลับลมคมในอะไรหรือไม่ นำไปสู่การที่ภาคประชาชนตัดสินใจลงถนน เกิดกลุ่มเสื้อเหลืองที่ต่อมาก็คือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ต่อมาในช่วงปลายปี 2556 รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังทำแบบเดียวกันกับกรณีกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า “หากเป็นคนที่รู้ร้อนรู้หนาวทางการเมือง..เรื่องแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะเป็นการโยนหินถามทาง” เพื่อดูว่ากระแสสังคมจะเป็นอย่างไร มีแรงต้านมาก-น้อยเพียงใด แต่หากจะเอาให้ได้ก็อาจต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อยากเจอ เพราะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเขาก็คงไม่อยู่เฉยๆ
หรือแม้กระทั่งบางฝ่ายที่ดูจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ยังเตือนว่าทำเรื่องอื่นก่อนน่าจะดีกว่า “รัฐบาลเพิ่งเข้ามาทำงานไม่นาน ต้นทุนก็ยังน้อยอยู่” ยังต้องทำงานให้มีผลงานประจักษ์ชัดกว่านี้ ต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น แต่ปัจจุบันประชาชนก็ยังลังเลอยู่ว่าจะไปต่อกับรัฐบาลนี้อย่างไร ส่วนแนวคิดที่บอกว่าแก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้วิกฤต จริงๆ หากแก้จะกลายเป็นวิกฤตมากกว่า
อย่างกรณีอดีตนายกฯ เศรษฐา จริงๆ ก็มีคนห้ามไม่ให้ตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) รอบแรก นายเศรษฐาก็ไม่ได้ใส่ชื่อนายพิชิตเข้าไปแต่อย่างใด แต่พอปรับ ครม. แล้วตั้งขึ้นมาก็เลยเป็นความผิดพลาด ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปด้วย และที่พลาดก็คือมีคนที่มีอำนาจเหนือนายเศรษฐา บอกว่าให้ใส่ชื่อนายพิชิตไปด้วย แต่คนที่ซวยคือนายเศรษฐา เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่เอาด้วย ซึ่งหากวันนั้นนายเศรษฐาไม่แต่งตั้งนายพิชิต ปัจจุบันก็ยังคงเป็นนายกฯ อยู่
“ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจาก 3 สาย 1.สายรัฐศาสตร์ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ หรืออดีตข้าราชการระดับสูง หรือนักบริหารระดับสูง 2.นักกฎหมาย 3.นักรัฐธรรมนูญนิยม กฎหมายมหาชน ทีนี้นักกฎหมายเวลาตีความเขาจะเคร่งครัดตัวอักษร 5 ต่อ 4 เสียงชี้ขาดท่านก็เป็นนักกฎหมายมาจากศาลฎีกา ฉะนั้นเวลาตีความเขาค่อนข้างเคร่งครัด
ก็เลยหลุด” นายสุริยะใส ระบุ
เหตุผลประการต่อมาที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญเรื่องนี้เพราะ “ต้องการให้มีเสถียรภาพทางการเมือง” ประเด็นนี้ นายสุริยะใส ให้ความเห็นว่า “เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญคลุมเครือหรือไม่..แต่อยู่ที่ความใสสะอาดจากการผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเข้มข้น” นอกจากนั้นยังมีเรื่องของนโยบาย ความสามารถในการแก้ปัญหา ความน่าเชื่อถือของผู้นำและคณะรัฐมนตรี ในทางกลับกัน การแก้รัฐธรรมนูญแล้วให้คนเทาๆ มาเป็นรัฐมนตรีได้ จะยิ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่แถมยังไม่ทำให้เกิดเสถียรภาพด้วย
โดยซึ่งกระบวนการตรวจสอบนอกรัฐสภานั้นก็ไม่ได้ทำกันเฉพาะในประเทศไทย ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ก็มีกลไกทำนองเดียวกัน เพราะการอาศัยเพียงการโหวตด้วยเสียงข้างมากท้ายที่สุดจะทำลายระบอบประชาธิปไตย คนทุจริตก็สามารถอยู่รอดได้หากมีคนโหวตให้ตนเองชนะ อย่างที่เห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้จะมีหลักฐานมีข้อมูลออกมามากเพียงใด แต่สุดท้ายหากชนะด้วยเสียงข้างมากก็ยังอยู่ต่อได้อยู่ดี
หากยึดเพียงเช่นนั้น ต่อไปก็จะมีแต่การเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด อย่างที่นักการเมืองชอบพูดว่าใครไม่พอใจก็ให้ไปตั้งพรรคการเมืองแล้วมาลงเลือกตั้งแข่งกัน ซึ่งในความเป็นจริงแข่งอย่างไรก็แพ้เนื่องจากสู้เครือข่ายอุปถัมภ์ของนักการเมืองไม่ได้ ทั้งนี้ ตามหลักการแล้วรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้เมื่อบริบทของบ้านเมืองเปลี่ยนไป และการแก้ไขที่ปฏิรูปการเมืองให้ประเทศดีขึ้นตนก็เห็นด้วย แต่ร่างแก้ไขรายมาตราครั้งนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างมีพลังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ได้จริงๆ!!!
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
ขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ในมาตรา 256 ระบุขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ดังนี้(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
(2) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ(3) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(4) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย (5) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(6) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
(7) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (6) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำความในมาตรา 81 มาใช้บังคับโดยอนุโลม (8) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออำนาจได้ ก่อนดำเนินการตาม (7) ให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดำเนินการตาม (7) ต่อไป
(9) ก่อนนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (7) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของทั้งสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญตาม (7) ขัดต่อมาตรา 255 หรือมีลักษณะตาม (8)
และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้
โดยมาตรา 255 นั้นระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี