“ขอให้นึกภาพว่าจีนผ่านช่วงเวลาวันเก่าๆ ที่หวานชื่น (Good Old Day) มาทศวรรษหนึ่งเลยนะ แต่เป็นทศวรรษที่สูงกว่าไทยอีกเพราะของไทยพีคสุดคือโต 10% ต่อปี แต่ของจีน 10% นี่แทบจะเป็นขั้นต่ำเลยนะ แล้วเขาสูงขึ้นไปถึง 14% ต่อปี ฉันใดฉันนั้นก็จะต้องมีช่วงเวลาที่ตกต่ำ หมายถึงโตต่ำแต่ยังไม่ถึงขั้นติตลบจะเห็นว่าพอปี 2008-2019 (2551-2562) 10 ปีต่อมา คนจีนก็เปรียบเทียบกับตัวเอง ดังนั้นก็เสมือนเป็นยุคขาลงไปโดยปริยาย ก็คือโตลงมาเหลือ 8% 6% จากคนที่เคยโต 10% ถ้าคุณโต 6% มันคือถดถอยโดยเปรียบเทียบแล้วนะ”
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวในวงเสวนา “ทิชชู่1 บาท หม่าล่า และรถอีวี : ปัญหาเศรษฐกิจไทยใต้อำนาจทุนจีน” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยฉายภาพ “5 ข้อเท็จจริงว่าด้วยเศรษฐกิจจีน” ไล่ตั้งแต่ 1.จีนมีการค้ากับโลกและเป็นการค้าที่เกินดุลมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เมื่อจีนเริ่มเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2544 การส่งออกมีมากกว่าการทำเข้า เป็นเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 2.ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง จีนนั้นผ่านช่วงเวลาเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาแล้วในช่วงปี 2541-2550
โดยการเติบโตของจีนช่วงนั้นอยู่ที่ร้อยละ 8-14 ต่อปีซึ่งทุกประเทศในโลกจะเคยชินกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง อย่างประเทศไทย ทุกวันนี้หาก GDP โตได้ร้อยละ 5 ต่อปีก็แทบจะฉลองกันแล้ว แต่ในช่วงพีคสุดๆ ในช่วงยุค 1990 หรือกลางทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจไทยเคยโตถึงร้อยละ 10 ต่อปีจนคาดหวังกันว่าไทยจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของทวีปเอเชีย ใครที่โตทันรับรู้ประสบการณ์จะจำได้ดีว่าบรรยากาศในเวลานั้นของประเทศไทยหันไปทางไหนก็มีแต่ความคึกคัก ทั้งแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโต จำนวนรถยนต์และถนนที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น
แม้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะยังไม่เท่ากับศูนย์แต่คนจีนที่เคยผ่านยุคสมัยที่ประเทศเจริญรุ่งเรืองสุดๆ ย่อมเกิดความรู้สึกหรือคำถามในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของตน และหากการเติบโตของเศรษฐกิจจีนช่วงปี 2551-2562 ว่าต่ำลงแล้ว เมื่อเข้าสู่ปี 2563 ที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สถานการณ์ในแดนมังกรก็ยิ่งปั่นป่วน 3.สินค้าคงเหลือของจีนสูงขึ้นหลังยุคโควิด เรื่องนี้ทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า หากสินค้าขายดีก็ไม่ควรเหลือในสต๊อก แต่หลังจากยุคโควิด-19 เป็นต้นมา สินค้าค้างสต๊อกในจีนเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ
อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จากที่เคยขายดีช่วงปี 2560-2561 กลับพบว่าในปี 2566-2567 อัตราการค้างสต๊อกของสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า รวมไปถึงสินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร เคมีภัณฑ์ เหล็ก ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนุ่งห่ม ล้วนเหลือค้างสต๊อกทั้งสิ้น 4.หลายประเทศเกิดปรากฏการณ์ขาดดุลการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง โดยหลังสถานการณ์โควิด-19 จะเห็นทั้งเวียดนาม กัมพูชาและไทย ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ แต่ที่ต้องจับตามองคืออัตราเร่งของไทยเรื่องขาดดุลการค้ากับจีนสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มที่มีปัญหานี้เหมือนกัน
และ 5.ปัจจัยสำคัญนอกจากการเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) แล้วยังพบว่าราคาสินค้าจีนต่ำกว่าไทยมาก โดยยุคแรกๆ ที่สินค้าจีนเข้ามายังประเทศไทยจะเป็นสินค้าภาคเกษตร เช่น กระเทียม ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา เช่น ในปี 2566 ที่ผ่านมา สินค้าที่ประเทศไทยนำเข้าจากจีนมากที่สุด อันดับ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้า รองลงมาคือผลไม้ อันดับ 3 เสื้อผ้า อันดับ 4 เครื่องใช้ในบ้านและของตกแต่ง และอันดับ 5 ของใช้ในครัว ทำให้น่าคิดว่าเมื่อมองดูภายในบ้านหรือห้องพักของเรา มีอะไรบ้างที่ไม่ได้นำเข้ามาจากจีน
“ราคากระเป๋าในคุณภาพใกล้เคียงกันในประเภทเดียวกัน ของไทยอาจจะขาย 499 บาท ของจีนนี่ประมาณ 100 บาท รองเท้าในแบบเดียวกันของไทยอาจจะสัก 600 บาท ของจีนจะ 200 บาท ผัก-ผลไม้ต่อตัน ของไทย 97,000 บาท ของจีนแค่ 35,000 บาท อันนี้คือพยายามคำนวณแบบเป็นวิทยาศาสตร์เป็นค่าเฉลี่ยให้เห็นภาพชัดเจนในสินค้าที่คุณภาพเกรดเดียวกัน แล้วก็จะเห็นว่า FTA ก็ส่วนหนึ่ง ต่อให้ไม่มี FTA สินค้าจีนก็มีต้นทุนต่ำกว่าไทยมากอยู่แล้ว” วีระยุทธ ระบุ
กับกระแส “สินค้าจีนทะลัก” ที่ถูกพูดถึงอย่างมากทั้งในไทยและต่างประเทศ วีระยุทธ สรุปแนวทางรับมือที่แตกต่างกันไป 6 รูปแบบ คือ 1.แบบที่รัฐบาลไทยทำอยู่ในปัจจุบัน (ณ วันที่รัฐบาลประกาศ คือวันที่ 3 ก.ย. 2567) อาทิ ปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับการค้า เก็บภาษีการค้าออนไลน์ เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าโดยไม่ยกเว้นกรณีสินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาทอีกต่อไป ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้ค้าขายทางออนไลน์ได้ โดยคาดหวังให้ผู้ประกอบการไทยสามารถออกไปแข่งขันในตลาดโลก
2.บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าและตรวจสอบนอมินีอย่างเข้มข้น เป็นข้อเสนอที่มาจากการพบเห็นทุนจีนเข้ามาแทบจะทุกธุรกิจในประเทศไทย โดยมีคนไทยทำตัวเป็นนอมินี ถือหุ้นหรือเป็นผู้บริหารแทน แต่หากจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจังต้องยกระดับขีดความสามารถของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพราะแม้จะมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบนอมินี แต่ในความเป็นจริงยังมีข้อจำกัดด้านกำลังคน
นอกจากนั้น หน่วยงานที่ดูเรื่องมาตรฐานสินค้า อย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หน่วยงานควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างกรมศุลกากร ตลอดจน สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็ต้องได้รับการยกระดับขีดความสามารถเช่นกัน ซึ่งการแข่งขันทางการค้าก็เกี่ยวข้องกับทุนจีน เช่น พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ใช้บริการแพลตฟอร์มซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ก็อาจถูกบังคับให้ต้องใช้บริการขนส่งสินค้าในเครือแพลตฟอร์มเดียวกัน
หรือแม้แต่ กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการทุ่มตลาด และเคยใช้มาแล้วกับสินค้าประเภทเหล็ก เมื่อมีสมาคมผู้ค้าเหล็กในไทยรวมตัวกันยื่นเรื่องร้องเรียน แต่จริงๆ แล้วกฎหมายนี้ให้อำนาจเปิดการสืบสวนได้เลยโดยไม่ต้องมีผู้ร้องเรียน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายนโยบายจะเอาด้วยหรือไม่ 3.เข้มงวดเรื่องมาตรฐานสินค้าแบบเชิงรุก เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ปัจจุบันตรวจสอบสินค้าได้เพียง 144 ประเภท หากจะใช้มาตรการนี้ก็ต้องเพิ่มมาตรฐาน มอก. ให้ครอบคลุมสินค้าอื่นๆ มากขึ้น เพื่อป้องกันผู้นำเข้าหาทางหลบเลี่ยง
รวมถึงเพิ่มบุคลากรเพื่อให้ตรวจได้ละเอียดขึ้น เพราะที่ผ่านมาการตรวจสอบสินค้านำเข้ามักสุ่มตรวจเพียงบางส่วน เช่น ตู้ที่อยู่ด้านหน้าๆ หรือสินค้าที่อยู่ส่วนนอกๆ ติดกับประตูตู้ซึ่งถูกเตรียมไว้แล้วให้เป็นสินค้าที่ไม่มีปัญหาใดๆ ทำให้มีสินค้าไม่ได้มาตรฐานเล็ดรอดเข้ามาในประเทศไทยให้เป็นข่าวอยู่เนืองๆ 4.เปิดแพลตฟอร์มกลางร้องเรียนปัญหาอย่างครบวงจรและส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะอำนาจในการตรวจสอบกระจัดกระจายไปอยู่กับหลายหน่วยงาน เช่น การนำเข้า การประกอบธุรกิจ การขาย การจ้างแรงงาน ฯลฯ
5.ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน จีนทำอะไรไทยก็ทำอย่างนั้นบ้าง เช่น จีนใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตรวจจับธุรกรรมที่มีปัญหา ซึ่งหากเข้าข่ายจะระงับทันที ผู้ใช้บริการซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ทุกคนต้องลงทะเบียนเพื่อให้ยืนยันตัวตนได้ เพื่อให้ตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ตลอดเส้นทาง แต่หากไทยจะใช้มาตรการแบบนี้บ้าง คำถามคือเทคโนโลยีพร้อมแล้วหรือยัง? จะทำให้คนที่ใช้แพลตฟอร์มเชื่อมั่นได้มาก-น้อยพียงใด?
และ 6.วิถีแบบอินโดนีเซีย ธุรกิจในประเทศต้องมาก่อนรัฐบาลอินโดนีเซียมีจุดยืนชัดเจนเรื่องการปกป้องผู้ประกอบการในท้องถิ่น จึงออกมาตรการ เช่น แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์จีนอย่างติ๊กต็อก (TikTok) ไม่อนุญาตให้เปิดฟังก์ชั่นซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่เห็นว่าจะเข้ามาแข่งกันกับสินค้าแบบเดียวกันที่ผลิตโดยผู้ประกอบการในประเทศ เป็นต้น แต่ที่อินโดนีเซียทำแบบนี้ได้ เพราะมีตลาดภายในประเทศที่กำลังเติบโต รวมถึงมีทรัพยากรแร่มีค่าไว้เป็นเครื่องมือต่อรอง คำถามคือแล้วไทยจะทำแบบเดียวกันได้หรือไม่?
เรื่องราวในวงเสวนายังไม่จบ โปรดติดตามในตอนต่อไป (ฉบับวันเสาร์ที่ 19 ต.ค. 2567) ยังเหลือวิทยากรอีก 2 ท่าน ที่จะมาให้มุมมองว่าประเทศไทยจะเอาอย่างไรดีกับปรากฏการณ์ “ทุนจีน-สินค้าจีน” ทะลักเข้ามาและส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในขณะนี้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี