“เราถามน้องว่าเคยมีความฝันอยากทำอาชีพอะไรไหม? เราเห็นแววตาน้องที่มองไม่เห็นอะไรเลย คือบางทีเราคุยกับคน เราสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ในแววตาของคนได้ แต่นี่เหมือนน้องนึกภาพไม่ออกว่ามันมีอาชีพอะไรบ้าง จนเราถามว่างานอดิเรกชอบทำอะไร? เขาบอกชอบเล่นฟุตบอล แต่พอมาตอนนี้ก็ไม่ได้เล่นแล้วเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน เขาต้องเลี้ยงน้อง เราก็เลยถามว่าถ้ามีโอกาสให้เลือกได้ตอนนี้คิดว่าอยากจะทำอาชีพอะไร? ก็สังเกตเห็นน้องหันไปมองหน้าแม่ เขาบอกว่าอยากเป็นช่าง
นั่นหมายความว่ามุมมองอาชีพของน้อง เขาจะเห็นเฉพาะสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา เขามองไม่เห็นสิ่งอื่นมองว่าอาชีพช่างคืออาชีพที่เขาใฝ่ฝันจะทำ ก็ถามต่ออีกว่าจะเป็นช่างรู้ไหมต้องทำอย่างไร? ก็เหมือนน้องเขาจะมองเส้นทางไม่ออก จนกระทั่งครูแนะแนวที่ไปด้วยกันก็บอกว่าต้องไปเรียนอาชีวะ จะได้เรียนสายช่าง เลยถามว่าถ้ามีโอกาสอยากไปเรียนอาชีวะไหม? ก็จะสังเกตเห็นน้องมองหน้าพ่อแม่เขา แล้วก็ตอบเหมือนกับเกรงใจ คือพยักหน้าแต่ว่าไม่พูดเต็มปากเต็มคำ อันนี้เราก็คิดเองว่าน้องเขาอาจเห็นถึงข้อจำกัดว่าเขาอาจไปไม่ได้เพราะต้องช่วยที่บ้าน”
เรื่องเล่าจาก รศ.ดร.พร้อมพิไล บัวสุวรรณ อาจารย์สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึงหนึ่งในตัวอย่าง “เด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา” ที่ได้ไปพบมาในการทำโครงการวิจัยร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนกลุ่มที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยตัวอย่างนี้เป็นเยาวชนชายที่เรียนจบเพียงระดับ ม.ต้น แล้วต้องออกมาช่วยพ่อแม่ที่เป็นคนงานในไร่อ้อย และเลี้ยงน้องที่ยังเล็กซึ่งก็พามาอยู่ในไร่อ้อยด้วย
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ทั้งช่วงรอยต่อ ม.ต้น กับ ม.ปลาย และช่วง ม.ปลาย กับมหาวิทยาลัย รวมไปถึงมหาวิทยาลัยแล้วแต่ก็ไม่จบปริญญา หรือก็คือการพยายามทำความเข้าใจเส้นทางชีวิต อะไรเป็นจุดที่ทำให้เด็กและเยาวชนไปถึงหรือไม่ถึงเป้าหมาย และ กสศ. จะเข้าไปสนับสนุนอย่างไรเพื่อให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้เป็นกำลังแรงงานที่สำคัญของประเทศได้ผ่านโอกาสการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยมีกระบวนการ คือ
1.การจัดวงสนทนากลุ่มกับเครือข่ายที่ทำงานช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เช่น เขตพื้นที่การศึกษา ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ฯลฯ จากหลากหลายภูมิภาค 2.การสัมภาษณ์เชิงลึกเด็กและเยาวชน 60 คน อ้างอิงกลุ่มตัวอย่างจากเด็กและเยาวชนในครัวเรือนที่ได้รับทุนเสมอภาคของ กสศ. แบ่งตาม ภูมิภาค คือ ภาคกลาง (รวมกรุงเทพฯ-ปริมณฑล) ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และ 3.การสร้างแบบสอบถาม กระจายไปยังทั่วประเทศ
ซึ่งได้ข้อสรุปว่า “การที่เด็กและเยาวชนจะไปถึงปลายทาง ในที่นี้หมายถึงการเรียนต่อมหาวิทยาลัยจนจบปริญญา มีปัจจัย 5 ประการ ได้แก่ 1.พื้นฐาน
ครอบครัว 2.คุณลักษณะและทัศนคติของเด็กหรือเยาวชนนั้นเอง 3.บทบาทของครูและสถานศึกษา 4.ความมุ่งมั่นในการศึกษาต่อของเด็กหรือเยาวชนนั้น และ 5.เครือข่ายและการช่วยเหลือสนับสนุน” จากนั้นเมื่อค่อยๆ ไล่ย้อนกลับแบบละเอียด
พบว่า ความมุ่งมั่นในการศึกษาต่อของเด็กหรือเยาวชนนั้นเอง เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือเจ้าตัวต้องมีความแน่วแน่ก่อนว่าอยากเรียนต่อ แต่ปัจจัยส่งผลต่อความมุ่งมั่นในการศึกษาต่อของเด็กหรือเยาวชนมากที่สุด คือคุณลักษณะและทัศนคติของเด็ก รองลงมาคือเครือข่าย
และการช่วยเหลือสนับสนุน ขณะที่ปัจจัยด้านพื้นฐานครอบครัว และด้านบทบาทของครูและสถานศึกษา มีผลในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
“ในกรณีเด็กที่มีคนในครอบครัวเป็นแรงบันดาลใจ โรงเรียนอาจมีอิทธิพลน้อยเพราะครอบครัวใกล้ชิดกับเรามากที่สุด แต่เด็กบางคนที่ยากจนมากและครอบครัวก็อาจไม่ได้เป็นที่พึ่งให้เขาได้ นั่นหมายความว่าข้อค้นพบตรงนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของบทบาทของครูและสถานศึกษาในการบ่มเพาะคุณลักษณะและทัศนคติ นอกจากนี้เรายังพบว่าเครือข่ายและการสนับสนุนมีผลต่อความมุ่งมั่นในการศึกษาต่อของเด็ก โดยครูและสถานศึกษาเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเครือข่ายและการสนับสนุนสูงมากเช่นกัน” รศ.ดร.พร้อมพิไล กล่าว
รศ.ดร.พร้อมพิไล เล่าต่อไปว่า ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งครั้งนี้เป็นเยาวชนชาย เป็นลูกของแม่เลี้ยงเดี่ยว ประกอบอาชีพขายอาหารในห้างสรรพสินค้า ฐานะไม่ดีนักแต่มีหลักคิด (Mindset) ที่ดีมาก ในโรงเรียนที่เรียนอยู่ ครูต้องทำหน้าที่เป็นช่างไฟฟ้าด้วย จึงถูกชวนไปเป็นลูกมือตั้งแต่ช่วง ม.4 เพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีเงิน เมื่อไปช่วยทำงานจะได้มีรายได้ รวมถึงยังได้ฝึกทักษะการเป็นช่างไฟฟ้าด้วย
เยาวชนคนนี้เดิมทีตั้งใจจะเรียนสายศิลป์-ภาษา เพราะไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่เรียนไม่ได้เพราะโควตาเต็มแล้ว จึงต้องเรียนสายศิลป์-คำนวณ (คณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ) ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ตรงกันข้ามกลับมองเห็นโอกาสเพราะกลายเป็นได้เข้าใจว่าวิชาคณิตศาสตร์ที่เคยไม่ชอบนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตจริงอย่างไรโดยอิงกับงานช่างไฟฟ้าที่ไปช่วยครูทำอยู่ รวมถึงยังไปได้งานเสริมช่วยญาติของเพื่อนติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เท่ากับว่าเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ๆ ของการทำงานในอนาคต
จากข้อค้นพบข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า “ครูและสถานศึกษามีความสำคัญใน 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือบ่มเพาะคุณลักษณะและทัศนคติของเด็กหรือเยาวชน กับอีกด้านคือเชื่อมโยงเด็กหรือเยาวชนกับเครือข่ายต่างๆ ที่ช่วยเหลือสนับสนุน” เพื่อทำให้เด็กและเยาวชนเกิดความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถเรียนต่อสูงขึ้นไปได้เต็มที่ และมุ่งมั่นที่จะเดินไปในทางนั้น ดังกรณีเยาวชนในไร่อ้อย ที่ครูแนะแนวช่วยค้นหาและเก็บข้อมูลเพื่อหาทางช่วยเหลือ และเยาวชนช่างไฟที่มองครูซึ่งชักชวนไปช่วยงานซ่อมระบบไฟฟ้าในโรงเรียนเป็นแบบอย่างที่ดี
ถึงกระนั้น “บทบาทของครูก็ยังมีข้อจำกัด” โดยเฉพาะ “ครูแนะแนว” ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากใน “การแนะนำทางเลือกในการเรียนต่อหรือการทำงานในอนาคตกับเด็กและเยาวชนโดยละเอียดเป็นรายบุคคล” ซึ่งในความเป็นจริงบุคลากรกลุ่มนี้มีจำนวนน้อย ในขณะที่นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการให้ครูที่ปรึกษาสามารถทำหน้าที่แนะแนวได้ แม้จะมีเจตนาดีเพราะครูที่ปรึกษาอยู่ใกล้ชิดกับนักเรียน แต่เมื่อสอบถามครูที่ปรึกษาก็ยอมรับว่าให้คำแนะนำได้เพียงกว้างๆ ทำให้ระบบแนะแนวในระบบการศึกษาไทยไม่มีประสิทธิภาพ
“ต้นตอของปัญหาการขาดแคลนครูแนะแนว” รศ.ดร.พร้อมพิไล ค่อยๆ ไล่ย้อนให้ดูทีละขั้น ตั้งแต่จำนวนนิสิต-นักศึกษา ที่เรียนคณะครูศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ น้อยคนมากที่เลือกวิชาเอกด้านจิตวิทยาการศึกษา ส่วนใหญ่หากไม่เลือกวิชาเอกด้านการสอนเฉพาะทางตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ฯลฯ ก็จะเลือกเรียนทางด้านบริหารการศึกษา เพราะหาตำแหน่งงานครูตามโรงเรียนได้ง่ายกว่า
ขณะเดียวกัน ทางเขตพื้นที่การศึกษาก็ไม่สามารถเปิดอัตราบรรจุครูได้เอง ต้องให้ทางโรงเรียนขอมา แต่ผู้บริหารสถานศึกษาก็ต้องให้ความสำคัญกับการมีครูครบทุกชั้นและทุกวิชาตามตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ก่อน หากยังไม่ครบแล้วไปขออัตราบรรจุครูแนะแนวก็จะเกิดคำถามตามมาได้ บทสรุปจึงไปจบที่เรื่องของ “วิธีคิดของระบบการศึกษา” ว่าจะให้ความสำคัญเน้นไปที่วิชาการหรือการสร้างทัศนคติ นิสัยและบุคลิกภาพของผู้เรียน
จากข้อค้นพบนี้ รศ.ดร.พร้อมพิไล ยังเทียบเคียงกับงานวิจัยที่เคยทำร่วมกับสภาการศึกษา ในช่วงปลายปี 2565-ต้นปี 2566 ช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เริ่มซาลงและการเรียนการสอนกลับมาดำเนินการที่โรงเรียน ซึ่งจากการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม มีผู้เข้าร่วมราว 300 คน เป็นกลุ่มผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียกับระบบการศึกษา เห็นตรงกันว่า มีความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายกับค่านิยมหรือความเชื่อที่นำไปสู่การปฏิบัติ
กล่าวคือ “ในขณะที่ประกาศว่าการศึกษาไทยมีเจตนารมณ์มุ่งเน้นการสร้างความเสมอภาคทางโอกาส มุ่งเน้นการสร้างสมรรถนะและทักษะ และความสำคัญกับการบ่มเพาะคุณลักษณะของผู้เรียน แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นตรงข้าม คือยังคงเน้นการสอบแข่งขันทางวิชาการ” ดังนั้นระบบการศึกษาไทยก็อาจต้องย้อนกลับมาสำรวจตนเองด้วย ว่าอะไรทำให้เกิดความไม่สอดคล้องกันขึ้น
กลับมาที่งานวิจัยซึ่งทำกับ กสศ. อาจารย์พร้อมพิไล แบ่งเด็กหรือเยาวชนที่พบได้ 4 กลุ่ม คือ 1.Clear Will, Clear Way, No Wealth ตั้งเป้าหมายของตนเองไว้ชัดเจนว่าอยากเรียนต่อและทำงานอะไรในอนาคต และรู้ด้วยว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร แต่ขาดปัจจัยเรื่องทุนทรัพย์ที่จะไปให้ถึง 2.Clear Will, Cloudy Way, No Wealth แม้จะมีจิตใจมุ่งมั่น แต่ขาดข้อมูลหรือคำแนะนำว่าจะเดินไปถึงฝั่งฝันได้อย่างไร แถมยังไม่มีทุนทรัพย์อีกต่างหาก
3.Cloudy Will, Cloudy Way, No Wealth คือ มีความลังเลภายในจิตใจ ด้านหนึ่งอยากเรียนต่อสูงๆ แต่อีกด้านก็กลัวจะไปไม่รอด ซึ่งอาจเป็นเพราะมีภาวะพึ่งพิง เช่น มีสมาชิกในครอบครัวป่วยหนักหรือพิการติดบ้าน-ติดเตียงไม่สามารถดูแลเลี้ยงชีพตนเองได้ ต้องให้สมาชิกคนอื่นๆ ช่วยดูแล นอกจากนั้นยังขาดข้อมูลด้วยว่าหากอยากเรียนด้านนั้น-ทำงานสายนี้จะต้องไปต่ออย่างไร และยังขาดแคลนทุนทรัพย์อีก
และ 4.No Will, No Way, No Wealth กลุ่มนี้สรุปง่ายๆ คือไม่มีและไม่เอาอะไรเลย หรือบางกรณีก็ไม่ได้ขาดแคลนทุนทรัพย์ด้วย เช่น มีเด็กคนหนึ่ง แม้จะเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตต้องไปอาศัยอยู่กับวัด แต่มีอาเป็นเจ้าอาวาสที่พร้อมจะส่งเสียให้จนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กคนนี้เรียนเพียงจบ ม.6 ตามคำขอของอา แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรต่อ โดยเด็กหรือเยาวชนกลุ่มนี้จะไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ขอค้นหาตนเองไปเรื่อยๆ
ซึ่งลักษณะนี้จะต่างจากอีกกรณีหนึ่ง คือมีเด็กอีกคนที่เล่าว่าตนเองขอเรียนให้จบ กศน. โดยไม่ขอต่อมหาวิทยาลัยแล้วจะหาเงินทุนสักก้อนมาเปิดร้านขายของเล็กๆ มีการมองรายได้ที่จะได้รับว่าแค่นี้ก็พออยู่พอกินแล้ว โดยยอมรับว่าตนเองก็หัวไม่ค่อยดีเท่าไร ทำมาหากินแบบนี้ได้ก็ชีวิตเรียบง่ายมีความสุขแล้ว ซึ่งกรณีนี้เจ้าตัวมีแผนชีวิตที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นเพียงการไม่รู้แล้วขอสำรวจค้นหาตนเองไปเรื่อยๆ ก่อนดังตัวอย่างก่อนหน้า
“คิดว่า ณ ตอนนี้ สังคมตระหนักและเห็นภาพร่วมกันว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราจะต้องไม่ได้เน้นที่ตัววิชาการ แต่ต้องเน้นไปที่ทักษะ เรื่องการพัฒนาคุณลักษณะของเด็กให้มีทักษะชีวิต คิดว่าตรงนี้กระแสสังคมมันมา แต่เพียงแค่ว่ามันต้องอาศัยความเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ของส่วนกลางในการให้เห็นว่าตัวนโยบายกับการปฏิบัติมันไปด้วยกัน” รศ.ดร.พร้อมพิไล ระบุ
จากเรื่องบทบาทของครู “หลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่น” ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เช่น เด็กบางคนมีเหตุจำเป็นต้องรีบทำงาน จากแรงกดดันด้านฐานะของครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก จึงไม่สามารถเรียนชั้นมัธยมสายสามัญ 6 ปี แล้วไปต่อมหาวิทยาลัยอีก 4-5 ปีรวดเดียวให้จบปริญญาได้ ทำให้เมื่อจบ ม.3 จึงเลือกเรียนสายอาชีวะให้จบ ปวช. หรือ ปวส. หรือเลือกเรียน กศน. ที่หลักสูตรพร้อมต่อการใช้ทำงานได้เร็วกว่า แต่ปัญหาคือระยะยาวหากต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างไรเสียก็จะต้องกลับมาเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ดี ดังนั้นจะออกแบบหลักสูตรอย่างไร?
อาทิ มีหลักสูตรต่อเนื่องเทียบวุฒิต่อจาก ปวส. ทำให้ไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี แต่อาจอยู่สัก2-3 ปี นอกจากนั้น กรณีเด็กจบสายอาชีวะหรือ กศน. พื้นฐานวิชาการจะไม่แน่นเหมือนจบสายสามัญ ด้านหนึ่งเห็นหลายมหาวิทยาลัยพยายามปรับรูปแบบการรับนักศึกษาโดยให้ความสำคัญกับเกณฑ์ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะมากขึ้น แต่เมื่อเข้าไปเรียนแล้วอย่างไรวิชาการก็สำคัญ ก็ต้องมีระบบติวเสริมปรับพื้นฐาน ซึ่งก็ต้องได้รับการสนับสนุนเพราะเด็กและเยาวชนในครัวเรือนยากจนจะขาดแคลนทุนทรัพย์ ไม่สามารถเข้าถึงการติวปรับพื้นได้
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.พร้อมพิไล ให้ข้อสรุปว่า “หากจะแก้ปัญหาของเด็กและเยาวชน ย่อมไม่อาจผลักให้เป็นเรื่องของระบบการศึกษา บทบาทของรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว” ดังที่มีสำนวนว่า “เลี้ยงเด็ก 1 คนต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน (It’s take a village to raise a child.)” หมายถึง “เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม” โดยเฉพาะการทำตนเป็น “ต้นแบบที่ดี” ดังข้อค้นพบจากงานวิจัย เด็กและเยาวชนที่มีทัศนคติที่ดี มักมีแรงบันดาลใจมาจากการพบเห็นตัวอย่างที่ดี ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ รุ่นพี่ ฯลฯ
แต่ที่น่าห่วงคือ “การสื่อสารที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน..ไม่รู้ว่าเป็นการสร้างต้นแบบที่ดีหรือไม่” เช่น มีการไปสร้างกระแสว่าไม่ต้องเรียนก็ประสบความสำเร็จได้ หรือการไปสอนว่า จงค้นหาและเลือกทำในสิ่งที่ชอบ (Passion) ซึ่งด้านหนึ่งก็ถูกเพราะทำในสิ่งที่ไม่ชอบก็มีแต่ความทุกข์ แต่อีกด้านหนึ่งหากยึดมั่นถือมั่นแต่คำว่าความชอบ ก็จะเกิดกรณีที่ฐานะทางบ้านยังไม่ดีแต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร กิน-นอนไปวันๆไม่ทำงานและไม่เรียน เพราะยังไม่เจอสิ่งที่ชอบ
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เกิดความเข้าใจขึ้นว่า “นอกจากสิ่งที่ชอบกับสิ่งที่ไม่ชอบแล้ว ยังมีสิ่งที่พอรับได้ ซึ่งเราสามารถอยู่กับสิ่งนี้ไปก่อนแล้วค่อยๆ บ่มเพาะความชอบ และใช้สิ่งนั้นสร้างโอกาสในการค้นหาเส้นทางอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” หรือหากมองคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ ก็จะทำให้เราสามารถอยู่กับสิ่งที่เป็นความธรรมดาไม่หวือหวาได้อย่างมีความสุข ท่ามกลางกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่สุดโต่ง 2 ด้าน ระหว่างฝั่งที่โชว์ชีวิตกินหรูอยู่สบายแบบสุดๆ กับฝั่งที่บอกว่าคนนั้นคนนี้ไม่เรียนไม่ทำงานก็เห็นใช้ชีวิตอยู่ได้
ซึ่งหากถามว่าคนที่เห็นกระแสต่างๆ แล้วหลงไปผิดหรือไม่ อาจารย์พร้อมพิไล ให้ความเห็นว่า โดยส่วนตัวก็มองว่าไม่ผิด แต่เห็นว่าทุกภาคส่วนในสังคมต้องออกมาพูด โดยเฉพาะบุคคลต้นแบบที่มีประสบการณ์ชีวิต เพื่อให้เด็กมองเห็นเส้นทางตลอดทั้งชีวิตไม่ใช่เห็นแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า สังคมต้องช่วยกัน เพราะให้ระบบการศึกษาหรือรัฐบาลทำฝ่ายเดียวอย่างไรก็สู้กระแสสังคมไม่ได้ ขณะที่เมื่อพูดถึงบทบาทของสื่อก็ไม่ใช่เฉพาะแต่คนทำงานด้านสื่อมวลชน เพราะยุคนี้ทุกคนในสังคมล้วนสื่อสารได้หมดทางสื่อสังคมออนไลน์
“อยากให้คิดสักนิดว่าสิ่งที่โพสต์ลงไปมันมีอิทธิพลต่อมุมมองหรือความคิดของเด็กและเยาวชนมากแค่ไหน ขอให้มีสติสักนิดเวลาที่คุณจะโพสต์อะไร เพราะทุกครั้งที่คุณโพสต์มันมีอิทธิพลต่อคนอื่นเสมอ” อาจารย์พร้อมพิไล ฝากทิ้งท้าย
บัญชา จันทร์สมบูรณ์ (สัมภาษณ์/เรียบเรียง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี