ประชาธิปไตยแบบตะวันตก แยกออกเป็น 3 แบบ
1.ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy)
เราไม่ต้องการเพราะประเทศไทยเรามีประมุขของรัฐเป็นพระมหากษัตริย์มาหลายร้อยปีแล้ว ยังธำรงชาติไทย ชาวไทย ผืนแผ่นดินไทย ไว้ให้เราได้จนถึงทุกวันนี้
2.ประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi Presidential Democracy)
เราก็ไม่ต้องการ ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อ 1 และรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็บัญญัติไว้ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข”
3.ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ซึ่งมิได้มีการวางดุลแห่งอำนาจ (Balance of Power) ให้เหมาะสม เป็นระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส., สว.) มาเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารด้วย (นรม., รมต., และตำแหน่งบริหารอื่นๆ) ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) ขาดระบบควบคุมซึ่งกันและกันระหว่างอำนาจทั้งสาม ทำให้ประเทศไทยค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ ความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนจนก็มีจำนวนมากขึ้น การทุจริตคอร์รัปชั่นขยายจากนักธุรกิจการเมืองลงไปสู่รากหญ้า ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางสังคม มีผู้คนเห็นแก่ตัวและไม่เคารพกฎหมายมากขึ้น
เราชาวไทย จะปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้อีก 92 ปี หรืออย่างไร (เท่ากับปี 2475-2567 ซึ่งได้เป็นเช่นนี้มาแล้ว)
เราต้องช่วยกันคิดหาทางออก เพื่อให้ประเทศเรามีความเจริญก้าวหน้า เท่าเทียมอารยประเทศ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ขจัดปัญหาความยากจน การแก้ปัญหาซ้ำซากทุกปี (น้ำท่วม, ฝนแล้ง) สร้างงานให้มากขึ้น แทนการแจกเงินแบบประชานิยม ตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่เราใช้อยู่ในขณะนี้
ปัญหาที่เห็นอยู่ก็คือ ทำอย่างไร เราจะได้มีผู้ใช้อำนาจบริหาร (นรม., ครม., ฯลฯ)
- ที่มีความสามารถในการบริหารประเทศได้ โดยหาวิธีสรรหาผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในอาชีพของตน จนเป็นที่ยอมรับได้ จากอาชีพต่างๆ ของแขนงอาชีพทั้งสาม ได้แก่ ประชากิจ ธุรกิจ และรัฐกิจ
- ที่มีจริยธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ไม่เคยต้องโทษทางอาญา หรือพฤติกรรมทางสังคมที่เสื่อมเสีย
- มีความกล้าหาญที่จะอยู่กับความถูกต้องและความชอบธรรม กล้าตัดสินใจ ในสิ่งที่ถูกคุณธรรม และชอบด้วยกฎหมาย
แน่นอน จะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญ20 ฉบับ จาก พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2560 (ซึ่งใช้กันมาบัดนี้ 92 ปี) ได้นำเอาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งฝรั่งตะวันตกเอามาวางยาไว้ เพื่อให้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งสี เกิดการมีผลประโยชน์ทับซ้อน เกิดการไร้ดุลยภาพแห่งอำนาจ เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดสงครามกลางเมือง (แบบในพม่า) ในประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากเขา ประเทศที่มีวัฒนธรรมอ่อนแอ (soft culture)เพื่อเขาจะได้มีความเหนือกว่า (supremacy) กับประเทศเหล่านี้ได้ตลอดไป
การแก้รัฐธรรมนูญ ก็ไม่ยากเกินไปนัก หากประชาชนชาวไทยจำนวนมากเห็นพ้องต้องกัน ว่าควรแก้ให้ไปในรูปแบบของระบอบประชาธิปไตยแบบสมดุลย์ (Balanced Democracy)
ง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปีพ.ศ. 2475เสียอีก
ง่ายกว่าการปฏิวัติ รัฐประหาร ที่จอมพลป.พิบูลสงครามจอมพลผิน ชุณหะวัณ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอมกิตติขจร พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ทำกันมา
ซึ่งท่านเหล่านี้ ได้เอาชีวิตของท่านเข้าเสี่ยงกันมาแล้วทั้งนั้น
ดังนั้น หากประชาชนชาวไทย จะรวมตัวกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนแปลงที่มาของผู้ใช้อำนาจบริหาร (นรม. และคณะรัฐบาล) เพื่อไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา นำอำนาจนี้ไปใช้จนใกล้ความสิ้นชาติ อยู่เฉกเช่นทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับย่อมแก้ไขได้ และมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนของการแก้ไขไว้แล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปี 2518, ฉบับปี 2540 หรือฉบับปัจจุบันปี 2560 ก็มีทางเดินไว้ให้แก่ พลเมืองชาวไทยที่มีความเห็นชอบในความดีงาม เห็นชอบในความถูกต้อง เห็นชอบในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง มีความอดทนและความเพียร เพื่อรักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรา ให้อยู่รอดท่ามกลางมรสุมการเมืองของโลก การแข่งขันทางทหาร ทางการค้า และการล่าอาณานิคมแบบใหม่ของประเทศมหาอำนาจ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ก็มีบทบัญญัติ ในหมวด 15 ไว้แล้ว ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากเราต้องการให้มีระบอบประชาธิปไตยแบบสมดุลย์ มาใช้แทนระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เราก็จะต้องแก้ไขในหมวด 8 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี ดังนี้
หมวด 8
คณะรัฐมนตรี
มาตรา 158 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปีและจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าแปดปีมิได้
มาตรา 158/2 ให้นายกรัฐมนตรีมาจากการลงคะแนนเสียงคัดเลือกครั้งที่สอง ตามมาตรา 158/4 โดยตรงและลับของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 158/4 (หรือองค์กรเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร หรือ Chief Executive Electoral Body) โดยรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง จากคณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160 โดยมีประสบการณ์ความรู้ความสามารถที่เหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ปราศจากผลประโยชน์ที่ขัดกันในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี
มาตรา 158/3 ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการทำหน้าที่ตามมาตรา 158/2 ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้วแจ้งผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
ให้กรรมการตามวรรคหนึ่งเลือกกันเองให้กรรมการผู้หนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ในกรณีที่ไม่มีกรรมการในตำแหน่งใด หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ากรรมการที่เหลืออยู่นั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ให้คณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่
มาตรา 158/4 บุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการสรรหาครั้งแรก จากนักบริหารในแขนงของตนมาก่อน แขนงละ 10 คน รวม 30 คน และผ่านการคัดเลือกครั้งที่สอง จากนักบริหารทั้งสามแขนง เพื่อผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) ตามวาระในมาตรา 1วรรคสาม และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(1) มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นถึง ศักยภาพที่จะใช้ในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีโดยมีประวัติการทำงานบริหารงานหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนมาก่อน ทั้งในแขนงอาชีพด้านประชากิจ ด้านธุรกิจ และด้านรัฐกิจ
(2) ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม
(3) เคยรับราชการหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตำแหน่งที่ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีจะกำหนด ไม่น้อยกว่าสองปี
(4) เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้จัดการหรือกรรมการในบริษัทมหาชน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และธุรกิจพาณิชย์ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีจะกำหนด ไม่น้อยกว่าสองปี
(5) เคยดำรงตำแหน่งนักบริหารภาคประชากิจ เช่น จากสภาหอการค้า สมาคมวิชาชีพ สมาคมสหกรณ์ สมาคมเกษตรกรรม สภาการค้า สภาอุตสาหกรรม มูลนิธิที่ทำประโยชน์แก่สังคม องค์การอาสาสมัคร สมาคมทางศาสนา องค์กรที่ทำประโยชน์สาธารณะ ตามหลักเกณฑ์จะกำหนดใน พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมาไม่น้อยกว่าสองปี
มาตรา 158/5 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการแถลงนโยบายและวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยสองครั้งก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยให้มีการถ่ายทอดรายการสดผ่านวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น และเปิดโอกาสให้มีการซักถามปัญหาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ได้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยผู้รับสมัครเลือกตั้งทุกคนต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิมิให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
มาตรา 158/6 เมื่อครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และวันเลือกตั้งนั้น ต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นแทนภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน แต่ไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง
ระยะเวลาของบุคคลผู้ที่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นไปตามมาตรา 1 วรรคสาม
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี