เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 "ปราย พันแสง" นักเขียนชื่อดัง เขียนบทความเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก เนื้อหาดังนี้ จากคนจนๆ กลายเป็นเศรษฐีมีโอกาสแค่ไหน? จากตัวเลขต่างๆ มันบ่งชี้ว่ายากมาก แต่ทำไมการขายฝันประเภทนี้จึงหลอกเหยื่อได้มาก หลอกซ้ำๆ ได้ตลอด ไม่ใช่แค่กรณีดิ ไอคอน แต่ยังหลอกลวงกันได้ทั้งโลก มันแปลกไหม?
จากคลิปต่างๆ ที่แชร์กัน นอกจากนิทานสร้างแรงบันดาลใจมดไต่แก้ว แม่จ๋าลูกอยากกินส้ม เรื่องเล่าของเศรษฐี ตำนานแห่งความยากจนที่หอมหวาน เรายังจะเห็นคลิปอีกมากมาย ที่บอสพอลและแม่ข่ายเล่าเรื่องการก้าวข้ามจากความยากจนสู่ความสำเร็จเป็นเศรษฐีร้อยล้านแบบซ้ำๆ พวกเขาร่ำไห้กลางเวทีบ่อยๆ ในขณะที่มวลชนข้างล่างแซ่ซร้องเป็นอันหนึ่งอันเดียว
นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่า เรื่องเล่าหรือ narrative ลักษณะนี้มันมีพลังในการกำหนดความคิด ความเชื่อ และการรับรู้ของผู้คนในสังคมได้ เขายิงทะลุจุดอ่อนของทุกคนที่อยากรวย ไม่ว่าจะมั่งมีอยู่แล้วแค่ไหน ทุกคนยังอยากรวยมากกว่าเดิม ทุกคนอยากเป็นเศรษฐีร้อยล้านกันทั้งนั้น แน่นอน มันเป็นไปได้ แต่มันก็ไม่ง่าย ความอัจฉริยะของของบอสพอลและทีมงานของเขาก็คือ เขาทำให้ลูกข่ายทุกคนเชื่อหมดใจ ว่ามันเป็นไปได้
นิทานเรื่องคนจนๆ ที่ใช้ความเพียรพยายามอดทน จนสร้างตัวกลายเป็นเศรษฐีนี้เป็นพล็อตเรื่องที่ทรงพลังมากตลอดมาและคงตลอดไป มันคือพลังอำนาจของการเล่าเรื่องที่พิชิตใจคนได้ทุกสังคม ทุกยุคสมัย อย่างที่พวกเรารู้จักกันดี ในนาม"ความฝันอเมริกัน" (American Dream)
"ความฝันอเมริกัน" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องเล่าที่มีอิทธิพลต่อสังคม มันเป็นแนวคิดที่ว่าทุกคนในสหรัฐอเมริกามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดีขึ้น หากพวกเขาทำงานหนักและมีความมุ่งมั่น โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมหรือชาติกำเนิด อำนาจของเรื่องเล่า "ความฝันอเมริกัน" นี้แสดงออกในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ผู้คนพยายามอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน
ในอดีต ความฝันอเมริกันดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้อพยพย้ายถิ่นฐานมาอเมริกาเพื่อโอกาสที่ดีกว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็มักอ้างถึงความฝันอเมริกันเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างๆ เช่น การลดภาษี หรือการส่งเสริมการศึกษา เรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ความฝันอเมริกัน" นี้ปรากฏในภาพยนตร์ วรรณกรรม และสื่อต่างๆ ซึ่งช่วยตอกย้ำแนวคิดนี้ให้ลงลึกในระดับจิตใต้สำนึกมายาวนาน
อำนาจของเรื่องเล่า "ความฝันอเมริกัน" ปรากฎตัวผ่านชีวิตจริงของคนดังชาวอเมริกันมากมาย
1.โอปราห์ วินฟรีย์ เกิดในครอบครัวยากจนในชนบทมิสซิสซิปปี แต่ด้วยความมุ่งมั่นและทำงานหนัก เธอกลายเป็นพิธีกรทอล์คโชว์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา และเป็นมหาเศรษฐี เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนมาก
2.สตีฟ จอบส์ ลูกบุญธรรมที่เติบโตมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Apple เรื่องราวของเขาถูกนำมาเล่าซ้ำๆ เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่าความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้
3.การรณรงค์หาเสียงของบารัค โอบามา ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ "ความฝันอเมริกัน" ที่มักมีการกล่าวอ้างถึงบ่อยๆ ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี โอบามาใช้สโลแกน "Yes We Can" ซึ่งสะท้อนถึงแก่นของความฝันอเมริกัน การที่เขาซึ่งเป็นลูกครึ่งแอฟริกันอเมริกันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จึงถูกมองว่าเป็นการพิสูจน์ว่าความฝันอเมริกันยังคงมีอยู่จริง
4.การอพยพของชาวคิวบาสู่ไมอามี หลังการปฏิวัติคิวบา ชาวคิวบาจำนวนมากอพยพมาสหรัฐฯ โดยหวังว่าจะได้มีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ปัจจุบัน ชุมชนคิวบาในไมอามีประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและการเมือง จึงมักถูกยกเป็นการบรรลุความฝันอเมริกันอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน
ในปัจจุบัน เรื่องเล่า "ความฝันอเมริกัน" ก็ถูกหยิบยกมาตั้งคำถามมากขึ้น ว่าในประเทศทุนนิยมเสรีต้นแบบของโลก ที่เคยเปิดโอกาสให้ทุกคนเติบโตได้อย่างไม่มีขีดจำกัดนั้น มันยังเป็นจริงอยู่หรือไม่ มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในทุกวันนี้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทำให้การเลื่อนชั้นทางสังคมในอเมริกาเป็นไปได้ยากขึ้น คนจนๆ จะพลิกชีวิตมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านนั้น แม้แต่ในหนังฮอลลีวู้ดก็ยังยากเลย
การเลื่อนชั้นทางสังคมหรือการบรรลุ "ความฝันอเมริกัน" ที่ยากขึ้นในปัจจุบันมีสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนขยายกว้างขึ้น คนรวย 1% ในสหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินและรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศ ราคาที่อยู่อาศัย การศึกษา และค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อและการเพิ่มของรายได้ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ การย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศทำให้งานในภาคอุตสาหกรรมที่มีรายได้ดีลดลง ในสหรัฐฯ เศรษฐกิจแบบ gig economy (งานอิสระ เช่น ขับแกร๊บ รีบจ้างพาหมาไปเดินเล่น) เพิ่มขึ้น แต่มักไม่มีความมั่นคงและสวัสดิการ
ในสหรัฐฯ ยังมีปัญหาระบบการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมคุณภาพการศึกษาแตกต่างกันมากระหว่างโรงเรียนในเขตร่ำรวยและยากจน ค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยที่สูงขึ้นทำให้การเข้าถึงการศึกษาระดับสูงยากขึ้น การสืบทอดความมั่งคั่ง ทรัพย์สินและโอกาสถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ระบบภาษีมรดกที่เอื้อประโยชน์ต่อการสะสมทุนข้ามรุ่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็มีผลกับคนอเมริกันอย่างมาก งานหลายประเภทถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและ AI ทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นอาจเข้าถึงได้ยากสำหรับคนบางกลุ่ม
นโยบายรัฐก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เอื้อต่อการเลื่อนชั้นทางสังคม การลดทอนระบบสวัสดิการสังคม นโยบายภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้มีรายได้สูงมากกว่าชนชั้นกลางและคนจน ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและเพศที่ยังคงมีอยู่ ระบบยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งส่งผลต่อโอกาสในชีวิตของคนบางกลุ่มในสังคม
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า โอกาสที่เด็กอเมริกันจะมีรายได้สูงกว่าพ่อแม่ลดลงจาก 90% สำหรับเด็กที่เกิดในปี 1940 เหลือเพียง 50% สำหรับเด็กที่เกิดในปี 1980 ข้อมูลจาก Federal Reserve พบว่า 1% ของครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ ครอบครองความมั่งคั่งมากกว่า 90% ล่างรวมกัน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้การบรรลุ "ความฝันอเมริกัน" ยากขึ้นสำหรับคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ผ่านการเสนอนโยบายต่างๆ เช่น การปฏิรูประบบการศึกษา การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับปรุงระบบสวัสดิการสังคม
จะเห็นได้ว่า ปัญหาในสหรัฐฯ ก็คล้ายๆ กับปัญหาในประเทศไทย ที่ความเหลื่อมล้ำสูง คนจนมีมาก คนอยากรวย อยากสบายมากขึ้น อยากอายุน้อยร้อยล้าน อยากได้เงินหนักๆ แต่ไม่อยากทำงานหนัก มันจะเป็นจริงไปแค่ไหนกันล่ะ
ลืมนิทานบันดาลใจกันไปก่อน ลองมาดูตัวเลขกันจริงๆ จังๆ จากรายงานของ Credit Suisse ในปี 2018 พบว่า 1% ของคนไทยที่รวยที่สุดถือครองทรัพย์สิน 66.9% ของประเทศ ดัชนีจีนี (Gini coefficient) ของไทยอยู่ที่ 0.36 ในปี 2020 ซึ่งแสดงถึงความเหลื่อมล้ำที่สูง (ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ผลการทดสอบ PISA ปี 2018 พบว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทยในโรงเรียนเมืองสูงกว่านักเรียนในชนบทถึง 69 คะแนน
เด็กจากครอบครัวยากจน 20% ล่างสุด มีโอกาสเรียนจบปริญญาตรีเพียง 5% เทียบกับ 63% ของเด็กจากครอบครัวรวย 20% บนสุด (ที่มา: ธนาคารโลก, 2020) การเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจของคนไทยก็น้อยมาก ในปี 2020 SMEs ไทยเข้าถึงสินเชื่อได้เพียง 33% ของ GDP เทียบกับ 68% ในสิงคโปร์ (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย) ค่าครองชีพของเราก็มีผลมาก ราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 53% ในช่วง 10 ปี (2010-2020) ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเพียง 25% ในช่วงเวลาเดียวกัน หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 1 ปี 2023 อยู่ที่ 90.6% ของ GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
โอกาสรวยของคนไทยมีแค่ไหน ลองดูตัวอย่าง
ชาวไร่ชาวนา นายสมชาย (นามสมมติ) ชาวนาในจังหวัดสุพรรณบุรี มีรายได้เฉลี่ยไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว ต้องกู้เงินนอกระบบเพื่อลงทุนทำนา เกิดวงจรหนี้สินที่ยากจะหลุดพ้น รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนเกษตรกรทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 378,578 บาทต่อครัวเรือนต่อปี รายได้นี้แบ่งเป็น รายได้จากภาคการเกษตร: 195,763 บาท (51.71%) รายได้นอกภาคการเกษตร: 182,815 บาท (48.29%) รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนชาวนาอยู่ที่ประมาณ 311,859 บาทต่อครัวเรือนต่อปี แบ่งเป็นรายได้จากการทำนา 142,489 บาท และรายได้นอกภาคเกษตร 169,370 บาท
แรงงานในภาคบริการ นางสาวแก้ว (นามสมมติ) พนักงานเสิร์ฟร้านอาหาร รายได้เดือนละ 15,000 บาท ไม่สามารถเก็บออมได้เนื่องจากค่าครองชีพในกรุงเทพฯ สูง โอกาสในการพัฒนาทักษะเพื่อเลื่อนตำแหน่งมีน้อย
ผู้ประกอบการรายย่อย นายวิชัย (นามสมมติ) เจ้าของร้านขายของชำในชุมชนแออัด พยายามขอสินเชื่อเพื่อขยายกิจการแต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ได้
กรณีศึกษาคนรุ่นใหม่ การสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในปี 2022 พบว่า 72% ของคนรุ่นใหม่อายุ 18-35 ปี รู้สึกว่าโอกาสในการมีชีวิตที่ดีกว่าพ่อแม่นั้นยากขึ้น
ตัวอย่างความสำเร็จที่หายาก กรณีของคุณตัน ภาสกรนที ผู้ก่อตั้งอิชิตัน เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่หายากของการเลื่อนชั้นทางสังคมอย่างก้าวกระโดด แต่ถ้าใครศึกษาประวัติชีวิตของคุณตันมาอย่างละเอียด ก็จะรู้ว่าคุณตันไม่ใช่ว่าจะเป็นเศรษฐีได้ง่ายๆ ตลอดเส้นทางชีวิตยังเผชิญอุปสรรคมากมายในการแข่งขันกับบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่
ข้อมูลและตัวอย่างเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการเลื่อนชั้นทางสังคมในประเทศไทยนั้นเป็นไปได้ยากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นจากฐานะยากจน
กรณีของบริษัท ดิ ไอคอน กับเหยื่ออยากรวยจำนวนมาก จึงสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่างในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เป็นลักษณะเดียวกับในสหรัฐฯ ประเทศไทยก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง คนรวย 1% ถือครองทรัพย์สินมากกว่า 50% ของประเทศ
นอกจากนี้สังคมไทยเรายังมีค่านิยมยกย่องคนรวย และมีความเชื่อว่าการรวยเร็วเป็นเรื่องที่ดี สื่อมักนำเสนอภาพความสำเร็จแบบ "อายุน้อยร้อยล้าน" ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันทางสังคมแบบฝังลึก ทว่า การจะประสบความสำเร็จในระดับสุดยอดทางการเงินเช่นนั้น คนไทยเรายังขาดตัวส่งอีกมาก ต้องยอมรับว่าคนไทยการขาดความรู้ทางการเงิน ระบบการศึกษาไทยยังไม่เน้นการให้ความรู้ด้านการเงินและการลงทุนอย่างเพียงพอ ทำให้หลายคนขาดทักษะในการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน จึงตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
นอกจากนี้กฎหมายและการกำกับดูแลธุรกิจบางประเภทของไทยเรายังมีช่องโหว่มาก การบังคับใช้กฎหมายอาจไม่เข้มงวดหรือล่าช้า ทำให้เกิดการฉวยโอกาสต่างๆ อย่างนักการเมืองที่ข่มขู่รีดเงินจากดิ ไอคอนตามที่เป็นข่าวก็คือตัวอย่างของการฉวยโอกาสจากช่องโหว่กฎหมายนี่เอง
หลายปีมานี้ โดยเฉพาะช่วงโควิดเป็นต้นมา คนไทยต้องเผชิญความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอย่างหนักหนาสาหัส หลายคนเผชิญกับภาวะหนี้สินและรายได้ไม่เพียงพอ ทำให้บางคนยอมเสี่ยงกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงแม้จะมีความเสี่ยงมาก การใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียของมิจฉาชีพในประเทศไทยก็เฟื่องฟูมาก บางทีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำตัวเป็นมิจฉาชีพเสียเอง ธุรกิจบางแห่งใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างภาพลักษณ์และดึงดูดนักลงทุน การแพร่กระจายข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียทำได้รวดเร็วและกว้างขวาง อีกทั้งกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในบางกรณียังไม่เข้มแข็งพอ ทำให้ผู้เสียหายอาจไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการเยียวยาอย่างเหมาะสม
กรณีของ ดิ ไอคอน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ธุรกิจฉวยโอกาสจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชน โดยอาศัยการสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดผู้คนที่ต้องการหลุดพ้นจากความยากจน บางคนตกหลุมพรางกลายเป็นเหยื่อ ทั้งที่อาจจะรู้เต็มอกว่าโอกาสรวยนั้นแทบไม่มีเลย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม การพลิกชีวิตจากคนจนกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้านจึงไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าเราจะอยู่ในอเมริกา ในประเทศไทย หรือส่วนใดของโลก มันก็ไม่เคยง่าย เหยื่อมากมายโดนหลอก จากความโลภ ขาดความรู้ หรือจากความเปราะบางของจิตใจ จากเทคนิคการพูดสร้างแรงบันดาลใจโดยอ้างความสำเร็จ ผู้พูดมักเป็นคนมีชื่อเสียงหรือดูประสบความสำเร็จ เน้นแสดงภาพความสำเร็จทางวัตถุ เช่น เงินทอง ทรัพย์สินเวอร์วัง สังเกตจากข่าวได้ว่า ลักษณะของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ มักเป็นผู้ที่โหยหาความสำเร็จ เข้าใจผิดว่าความสำเร็จได้มาโดยง่าย ขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ความไว้เนื้อเชื่อใจคนมีชื่อเสียงโดยไม่เคยตั้งคำถาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงขยายวงกว้าง
นอกจากนี้ บทบาทของโซเชียลมีเดียก็มีความสำคัญมาก เป็นตัวกระตุ้นสำคัญในการแพร่กระจายข้อมูลทำให้แชร์ลูกโซ่เติบโตและล่มสลายเร็วขึ้น จากรายงาน Speedtest Global Index ล่าสุด (กันยายน 2023) ระบุว่าอินเทอร์เน็ตมือถือ (Mobile Internet) ที่ครองอันดับ 1 คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ด้วยความเร็วเฉลี่ย: 193.51 Mbps ส่วนไทยไทยติดอยู่อันดับ 2 ด้วยความเร็ว 79.50 Mbps เหนือกว่าดีกว่าหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว
อินเทอร์เน็ตบ้าน (Fixed Broadband) อันดับ 1 คือ สิงคโปร์ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 268.49 Mbps ส่วนไทยอยู่อันดับ 7 ด้วยความเร็ว 225.54 Mbps สำหรับอินเทอร์เน็ตมือถือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นำหน้าไทยอย่างมาก โดยมีความเร็วมากกว่าเกือบ 2.5 เท่า ส่วนอินเทอร์เน็ตบ้าน แม้ไทยจะอยู่ในอันดับต้นๆ แต่ก็ยังห่างจากสิงคโปร์พอสมควร
จากข้อมูลปี 2023 จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทย 58.95 ล้านคน คิดเป็น 84% ของประชากรทั้งหมด เวลาเฉลี่ยที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันคือ 8 ชั่วโมง 49 นาที ถือว่าสูงมาก จำนวนผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยมีประมาณ 57.95 ล้านคน คิดเป็น 82.5% ของประชากรทั้งหมด เวลาเฉลี่ยที่ใช้บนโซเชียลมีเดียต่อวัน คือ 2 ชั่วโมง 47 นาที แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยม 1.Facebook: 52 ล้านยูสเซอร์ 2.YouTube: 50.70 ล้านยูสเซอร์ 3.TikTok: 46.20 ล้านยูสเซอร์ 4.Instagram: 22.40 ล้านยูสเซอร์ 5.Twitter: 12.15 ล้านยูสเซอร์
การใช้งานบนมือถือ มีจำนวนการเชื่อมต่อมือถือ: 98.81 ล้านการเชื่อมต่อ คิดเป็น 140.7% ของประชากรทั้งหมด (หมายความว่าหลายคนมีมากกว่าหนึ่งซิม) การซื้อของออนไลน์ก็สูงมาก 60.5% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียในระดับสูงมาก โดยเฉพาะการใช้งานผ่านมือถือ ซึ่งสอดคล้องกับความเร็วของอินเทอร์เน็ตมือถือที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก
การใช้งานในระดับสูงนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในแง่บวก มันช่วยให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลและโอกาสต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของข่าวลวงหรือกลโกงออนไลน์ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมา การตลาดออนไลน์ในประเทศไทยบูมมาก มีภาพของครีเอเตอร์หรือคนอายุน้อยร้อยล้านมากมายเกิดขึ้นจากตลาดนี้ บางคนแสดงตัวเลขชัดเจนว่ามีรายได้จากอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์เดือนละหลายล้าน
แม้ว่าความจริงคนกลุ่มที่ประสบความสำเร็จระดับนี้เป็นเพียงยอดแหลมๆ ของพิรามิด มีเพียงน้อยนิด แต่ภาพที่สื่อในโซเชียลมีเดียจะปรากฏเป็นภาพใหญ่โต จนดูเหมือนว่าเป็นช่องทางหาเงินที่ใครๆ ก็ทำได้ ภาพมันออกมาเหมือนว่าคนธรรมดาก็ทำได้ แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังมีคนจำนวนมากแตะไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง เหมือนเงินล้านล่องลอยอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะทำมาหากินจากตลาดนี้ได้อย่างไร เมื่อดิไอคอนออกแคมเปญสอนคนยิงโฆษณาในราคาแค่ 98 บาท สอนการขายสินค้าออนไลน์ มันจึงเหมือนเข้ามาเติมเต็มช่องว่างคนที่กำลังมองหาอาชีพในตลาดนี้อยู่พอดี
ตลาดออนไลน์ในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 และหลังจากนั้น มีคนจำนวนหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่มีรายได้สูง แม้จะดูเหมือนว่าใครๆ ก็ทำได้ แต่ความจริงแล้วมีอุปสรรคมากมาย ทักษะ ความรู้ เงินทุน และเครือข่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ใช่ทุกคนจะมี มีคนจำนวนมากที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เกิดช่องว่างระหว่างความต้องการกับความสามารถในการเข้าถึง เมื่อดิ ไอคอนเสนอโซลูชันที่ดูเข้าถึงง่าย (ราคาถูก 98 บาท) และตอบโจทย์คนที่ต้องการเข้าสู่ตลาด รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ว่าสามารถสอนทักษะที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่มีประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมมากมาย
ตามความเสี่ยงและความเป็นจริง การที่ดิ ไอคอนสัญญาว่าจะสอนทักษะที่ซับซ้อนในราคาถูกและเวลาสั้นๆ อาจไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะความจริงแล้วความสำเร็จในตลาดออนไลน์ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการลงทุนจริงๆ ดิ ไอคอน สร้างผลกระทบทางสังคมมากมาย สร้างความหวังและความคาดหวังที่อาจไม่สมจริง นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและการสูญเสียเงินของผู้ที่หวังจะประสบความสำเร็จ อย่างที่เราได้เห็นความเสียหายขนาดใหญ่มาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ดิ ไอคอน จะเป็นตัวอย่างการหลอกลวงต้มตุ๋นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดอีกเคสหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย แต่เหตุการณ์นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความต้องการอย่างมากในการพัฒนาทักษะดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ หากฉุกคิดในอีกมุม เราจะเห็นได้เลยว่า ระบบการศึกษาและการฝึกอบรมความรู้ออนไลน์ทั้งหลาย ควรปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการนี้อย่างเร่งด่วน
กรณีของดิ ไอคอน สถานการณ์นี้สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย ในขณะที่มีโอกาสมากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงและอุปสรรคที่ไม่ควรมองข้าม การให้ความรู้ที่ถูกต้อง การสร้างทักษะที่จำเป็น และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นจริงของตลาดออนไลน์ จะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้คนสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย
จะเห็นได้ว่า เมื่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มาปะทะเข้ากับความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความโลภ ความอยากรวย มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมเราครั้งใหญ่ ความต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่ส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจของผู้คน นิยามความสำเร็จเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้เราเน้นความสำเร็จทางวัตถุและการเงินมากขึ้น ลดทอนความสำคัญของความสำเร็จในรูปแบบอื่น เช่น การศึกษา หน้าที่การงาน
ดังเราจะเห็นมอตโต้แปลกๆ ที่เน้นความสะใจ เช่น ขยันผิดที่สิบปีก็ไม่รวย โดยอาจจะลืมนึกถึงคุณค่าความหมายของการทำงานที่แท้จริงไป เพราะงานบางอย่างเรารู้ดีว่าทำไปให้ตายก็ไม่รวย แต่เรายังทำเพราะมันมีคุณค่า มันมีความหมายต่อชีวิตเราและผู้อื่นที่หลายคนอาจหลงลืมไป
มันไม่ผิดหรอกที่เราอยากรวย และพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะรวย เพื่อจะได้เลื่อนระดับชั้นทางสังคม โลกทุนนิยมและการแข่งขันสูงมีส่วนผลักดันเราทุกคนในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและโซเชียลมีเดียมักแสดงภาพความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว การหลงลืมคุณค่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนอาจถึงจุดที่ว่าในต่อไป นอกจากความร่ำรวย มีของกินของใช้ราคาแพงเหลือเฟือ การเปิดแอร์ให้กระเป๋าอาจกลายเป็นค่านิยมใหม่ของความสำเร็จ กลายเป็นเรื่องธรรมดา และแน่นอนว่า ปรากฏการณ์ลักษณะนี้ก็จะยังคงเกิดขึ้นต่อไป
มันไม่ผิดหรอกที่เราอยากรวย ไม่ผิดหรอกที่เราจะพยายามทำทุกอย่าง เพื่อจะได้เลื่อนระดับชั้นเป็นคนรวย แต่ก็ไม่ควรลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ควรระมัดระวัง และรับฟังคำเตือนจากผู้อื่นบ้าง เมื่อพลาดแล้วควรโทษตัวเองด้วย ไม่ใช่โบ้ยความผิดให้ดารายันเต และที่สำคัญ ก็ต้องรำลึกไว้เสมอว่า ในโลกทุกวันนี้มันทำมาหากินลำบากยากเย็นไปทุกหัวระแหง จึงไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยง่าย
และที่สำคัญ มันไม่มีคนยากคนจนที่ไหนจะพลิกชีวิตมาเป็นเศรษฐีได้ง่ายๆ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี