รัฐบาลไทย ในฐานะผู้คุมนโยบาย เศรษฐกิจการเมืองรวมนโยบายการคลัง (Politico Economics Including Fiscal Policy)และผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในฐานะผู้ควบคุมนโยบาย การเงิน(monetary policy) น่าจะถามประชาชน ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันว่า อยากจะให้อัตราแลกเปลี่ยนเป็น 38 บาท ถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ แทนที่จะปล่อยให้มันแข็งอยู่ที่ 32.40-34.0 บาทอย่างทุกวันนี้หรือไม่ เพราะถ้าธปท.รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 38-40 บาท/$ รัฐบาล และ ธปท.ก็จะสามารถแก้ไขความทุกข์ร้อนของประชาชน และความเสื่อมสลายของบ้านเมืองสร้างความมั่นคง และความเจริญเติบโตของชาติและความอยู่ดีกินดีของประชาชนได้ดังต่อไปนี้
1.จะทำให้ราคาพืชผลทางเกษตรเพิ่มขึ้น 10-20%
2.จะทำให้สินค้า ส่งออก Export สามารถเพิ่มปริมาณส่งออกได้ 10% และมีกำไร ในธุรกิจต่างๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถลดปริมาณการนำเข้าของสินค้า ซึ่งเป็นคู่แข่งของเราได้โดยไม่ต้องขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
3.จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรมดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ และไม่มีความจำเป็นต้องปิดโรงงาน แต่มีโอกาสที่จะขยายโรงงานเพิ่มกำลังผลิต
4.จะทำให้คนงานไม่ตกงาน ค่าแรงก็จะทยอยกันเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน
5.จะทำให้ประชาชนมี เงิน จับจ่ายใช้สอยได้ตามอัตภาพไม่ขัดสนและไม่ต้องไปขายบ้านขายช่องขายที่ขายนา มาชำระหนี้
6.จะทำให้ หนี้ครัวเรือน และหนี้สินบริษัทต่างๆ เป็นหนี้ที่ดี เป็นการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
7.จะทำให้ ธนาคาร สามารถปล่อยกู้ได้ตามปกติและลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ได้ เพราะไม่ต้องสำรองหนี้ ไม่ก่อให้เกิดรายได้
8.จะทำให้โรงงานมีกำไร ผู้ประกอบการมีกำไรก็มีการลงทุนเพิ่มขึ้น การว่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นต่างชาติก็จะแห่ผสมโรงตามมาลงทุนเพิ่มด้วย
9.จะทำให้มี การว่าจ้างแรงงานเพิ่มรายรับประชาชน การจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนมากขึ้นรัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น ทำให้มีงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้น
10.GDP เพิ่มขึ้นเป็น 3-10% แทนที่จะเป็น 2.5% ตาม World Bank พยากรณ์
11.เงินสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้แบงก์ชาติสามารถตั้งกองทุน พัฒนาประเทศ ให้กู้สำหรับเงินงบประมาณพัฒนาประเทศ ในด้านต่างๆ ได้ทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองศิวิไลซ์เป็นประเทศชั้นนำของโลกประชาชนอยู่ดีกินดีหากินโดยสุจริตได้โดยไม่ต้องมีมิจฉาทิฐิ
ถ้าประชาชนมีความเห็นต้องการความอยู่ดีกินดีประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นประเทศชั้นนำของโลก และลูกหลานมีอนาคตที่ดีไม่ต้องไปของานทำที่อเมริกาหรือเวียดนาม รัฐบาลโดย กนง.และธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ (฿/us$) ไว้ที่ 38-40 บาท/ดอลลาร์ ไม่ใช่ปล่อยให้แข็งอยู่ที่ 32.4-34 บาท/ดอลลาร์ อย่างทุกวันนี้
การรักษาเสถียรภาพของเงินบาทไว้ที่ 38 บาท ถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็เหมือนกับว่าเป็นการกระจายรายได้ ให้กับประชาชนผู้มีส่วนร่วมในการทำให้การค้าการชำระเงินของประเทศเกินดุล (Wealth Distribution) จากเงินที่ผู้จะส่งเงินตราออกไปนอกประเทศ เช่น ผู้นำเข้าสินค้า หรือผู้ว่าจ้างเหมาคนต่างประเทศ โดยผ่านระบบการเงินที่ ธปท.มีหน้าที่เป็นกรรมการดูแลรักษาเพราะเงินสำรองเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ ซึ่งให้คลังกับธปท. สามารถรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ได้มาจากการส่งออกสินค้า การให้การบริการชาวต่างชาติ การชักชวนให้ต่างชาติมาลงทุน ซึ่งล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงงานมันสมองความสามารถของคนไทย ที่ทำให้เกิดผลการค้าและการชำระเงินเกินดุล กลายมาเป็นเงินสำรองเงินตราต่างประเทศในรูปของดอลลาร์หรือ ทองคำ มอบให้ ธปท.ดูแลตามกฎหมาย
แต่เมื่อทรัพย์สมบัตินี้มีมากขึ้นถึงสองแสนหกหมื่นล้านเหรียญสรอ. หรือ 8.7 ล้านล้านบาท -10.4 ล้านล้านบาท (Ex.33.5 บาท-40 บาท/$) หรือ 60% ของ GDP กลับมาทำร้ายประชาชนผู้มีพระคุณ โดย World Bank สั่งให้ธปท.ผู้มีหน้าที่เฝ้าดูแลเสถียรภาพเงินบาท ปล่อยให้บาทแข็งตามหลักกลไกตลาดของ CommodityTrading เป็น 32.4 บาท/$ เพื่อไม่ให้ไทยดีกว่าชาติอื่น ที่เขาต้องการสนับสนุนเช่น เวียดนาม แต่มันจะทำให้ไทยตกต่ำและประชาชนผู้มีส่วนร่วมทำให้เงินเกินดุลเดือดร้อนอย่างทุกวันนี้
ฉะนั้น ธปท.ควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้สามารถผลิตสินค้าแข่งขันกับต่างชาติได้เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจการเงิน เป็นประเทศชั้นนำของโลกแทนที่จะมาทำร้ายคนไทยด้วยกันทำให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศร่อยหรอไปพร้อมกับความเดือดร้อนของคนไทย และความเสื่อมโทรมของประเทศ
ทั้งนี้ มีตัวอย่างผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวเกินไป โดยเปรียบเทียบระหว่างค่าเงินบาทกับค่าเงินดองของเวียดนามในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วค่าเงินบาทอยู่ที่ 45 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันกลับแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 34 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นอัตราแข็งขึ้น 24.44%
ขณะที่เงินดองของเวียดนาม เมื่อ 20 ปีที่แล้วอยู่ที่ 14,082 ดองต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันอยู่ที่ 25,000 ดองต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอ่อนลง 77.53%
กล่าวโดยสรุป ผ่านมา 20 ปี ค่าเงินบาทแข็งกว่าเงินดอง2.35 เท่า ขณะที่เงินดองอ่อนกว่าเงินบาท 0.425 เท่า จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพราะเหตุใดที่ผ่านมาธุรกิจภาคการส่งออกสินค้าไทยจึงพ่ายแพ้ให้กับเวียดนามอย่างยับเยิน!!
ดูจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินดอง ต่อดอลลาร์กับเงินบาทต่อดอลลาร์ของวันนี้ กราฟ 2 กราฟนี้จะเห็นได้ชัดว่า ในขณะที่ อัตราแลกเปลี่ยน ของ เวียดนามดอง อ่อนตัวลง ในขณะที่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทของไทยกับแข็งตัวขึ้น เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แล้วสินค้าไทยจะไปสู้กับสินค้าเวียดนามได้อย่างไร
อย่าลืมนะครับเศรษฐกิจญี่ปุ่น พังเพราะว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน แข็งขึ้นจาก 300 กว่าเยนมาเป็น 80 เยนต่อดอลลาร์เพราะถูกอเมริกันบังคับ ด้วยสัญญาแพ้สงครามโลกของญี่ปุ่น ในปี 1985 แต่ประเทศไทยไม่มีสัญญา แพ้สงครามโลก กับอเมริกาเพราะฉะนั้นจะไปถูกอเมริกาบังคับไม่ได้นอกเสียจากคนของเรา ไปยอมเขาเอง
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี