ในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. 2567 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณตอนเหนือและอิทธิพลจากไต้ฝุ่นยางิ พายุโซนร้อนซูลิก ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะภาคเหนือมีฝนตกหนาแน่น และช่วงต้นเดือนพ.ย. 2567 มีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมา เคลื่อนเข้าปกคลุมทำให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักอีกครั้ง ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของปริมาณฝนทั้งประเทศในปีนี้จนถึงปัจจุบันสูงกว่าค่าปกติถึงร้อยละ 21 เกิดภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ และมีปริมาณน้ำท่าไหลลงอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
กรมชลประทานซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านน้ำของประเทศ ได้บูรณาการวางแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบที่เกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามนโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งได้ใช้โอกาสในช่วงปลายฤดูฝน และต้นฤดูหนาวที่ยังมีฝนตกกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง 470 แห่งทั่วประเทศล่าสุด ณ วันที่ 13 พ.ย. 2567มีปริมาณน้ำเก็บกักรวม 63,623 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็น 83 ของปริมาณน้ำที่กักเก็บ มากกว่าปี 2566 จำนวน 2,022 ล้านลบ.ม. โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 39,679 ล้านลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 76 ของปริมาณน้ำใช้การได้
นายธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฤดูฝนที่ผ่านมากรมชลประทานได้ดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งร่วมบูรณาการกับหน่วยงานเข้าไปฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงควบคู่ไปกับการเก็บกักน้ำในช่วงปลายฤดูฝนที่ผ่านมาให้ได้มากที่สุด สำหรับการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ได้บริหารจัดการโดยกระจายน้ำจากด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งในอัตราที่เหมาะสม พร้อมทั้งทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาแบบขั้นบันไดในอัตราไม่เกิน 1,500 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนด้านท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด
ส่วนปริมาณน้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ หลังจากสิ้นฤดูฝนในวันที่ 1 พ.ย. 2567 คาดว่าจะมีปริมาณน้ำรวมกัน 21,765 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 87 ของปริมาณการกักเก็บ โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้การได้ 15,060 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 83 ของปริมาณน้ำกักเก็บ ซึ่งกรมชลประทานจะนำปริมาณน้ำต้นทุนจาก 4 เขื่อนนี้มาบริหารจัดการร่วมกับปริมาณน้ำต้นทุนมีอยู่ในลำน้ำ และคลองต่างๆ ที่เก็บกักไว้ มาวางแผนบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68 ให้เพียงพอกับความต้องการในทุกๆ ด้านทั้งเพื่อการอุปโภค-บริโภค การเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และการท่องเที่ยว อย่างแน่นอน รวมทั้งยังจะสำรองน้ำส่วนหนึ่งไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 อีกด้วย
“กรมชลประทานมีแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี 2567/68 แบบ 6 เดือน บวก 3 เดือน คือ 6 เดือนในฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2567-30 เม.ย. 2568 และ 3 เดือนช่วงต้นฤดูฝนคือตั้งแต่ พ.ค.-ก.ค. 2568 ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่จะเพียงพอใช้ในทุกภาคส่วนตลอดฤดแล้งปี 2567/68 และมีน้ำสำรองในการทำนาปีช่วงต้นฤดูฝน ปี 2568 อย่างแน่นอน แม้จะเกิดกรณีฝนทิ้งช่วงหรือมาช้าก็ตาม รวมทั้งยังจะมีน้ำสำรองเพียงพอให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำท่ีต้องปรับปฏิทินการปลูกข้าวนาปีให้เร็วขึ้นเพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนถึงฤดูน้ำหลาก ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น” ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กล่าว
ส่วนพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปีนี้ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ดีมาก อ่างเก็บน้ำของเขื่อนใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ EEC จำนวน 16 แห่ง ล่าสุดมีปริมาณน้ำรวมกัน 1,225 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 65 ของปริมาณการกักเก็บ ซึ่งกรมชลฯจะบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC จะโดยใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในการ
ผันน้ำเชื่อมโยง 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ ทั้งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม มั่นใจได้ว่า ในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68 พื้นที่ EEC จะมีน้ำต้นทุนเพียงพอและยังมีสำรองไว้ ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 หากเกิดสภาวะฝนทิ้ง
ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยากล่าวด้วยว่า สำหรับพื้นที่ภาคใต้ที่กำลังมีฝนตกต่อเนื่องสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ของภาคใต้ล่าสุด ณ วันที่ 13 พ.ย. 2567 มีปริมาณน้ำรวมกัน 5,450 ล้านลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 67 ของปริมาณการกักเก็บ ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 2,744 ล้านลบ.ม. ทั้งนี้ รมว.เกษตรฯ ได้สั่งการให้กรมชลฯบูรณาการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมรับมืออุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งสั่งการให้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ เครื่องจักร เครื่องมือ เข้าประจำจุดเสี่ยง ตลอดจนตรวจสอบอาคารชลประทานให้ใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ
ทั้งนี้ กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศ ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของรัฐบาล โดยปรับให้วิกฤตกลายเป็นโอกาสที่จะเก็บกักน้ำในช่วงปลายฤดูฝนไว้ให้มากที่สุด เพื่อให้น้ำมีเพียงพอกับความต้องการ และสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี