“วัดวังทอง ธมฺมธโร” ตำบลกกแรต อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เป็นวัดใหม่ที่เพิ่งเริ่มสร้างได้ราว 5 ปี บนพื้นที่ 50 ไร่ และ ได้จัดพิธีฉลองตราตั้ง “วัดวังทอง ธมฺมธโร” รวมทั้งตราตั้งเจ้าอาวาส และ ตราตั้งฐานานุกรม เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2566
ประวัติของพื้นที่วัดวังทองฯนั้น ร่ำลือกันว่าเคยเป็นทั้งสมรภูมิรบเก่าสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ที่พม่าใช้ปักหลัก และ ต่อมาถูกกองทัพพระเจ้าตากสินมหาราชไล่ออกไป และยังสันนิษฐานได้ว่า พื้นที่ของวัดวังทองฯ นั้น อาจเก่าแก่กว่ายุค พ.ศ.2310 อันเป็นปีที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 จนนำมาซึ่งการกู้ชาติกู้แผ่นดินของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะทางผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่มานานกว่า 70 ปี เล่าว่า พื้นที่เดิมของวัดวังทองมีการขุดค้นพบฐานโบสถ์เก่าแก่ ขุดพบมีดโบราณบริเวณใต้แม่น้ำยม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณวัดในปัจจุบันราว 50 เมตร สันนิษฐานว่า พื้นที่ของวัดวังทองฯอาจเป็นพื้นที่เก่าแก่โบราณมาตั้งแต่ยุคของพ่อขุนรามคำแหงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย
ในช่วงเทศกาลทางพระพุทธศาสนา และ ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิม อย่างเทศกาลลอยกระทงนั้น ที่ “วัดวังทอง ธมฺมธโร” ได้มีการจัดกิจกรรมลอยกระทงย้อนยุค มีการนำโคมประทีปลายพ่อขุนรามคำแหงและลายสือไทมาประดับตกแต่ง สร้างความงดงามให้กับพื้นที่ไม่น้อย โดยมีทั้งชาว ต.กกแรต อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย และ ชาว อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ซึ่งมีเขตพื้นที่ติดกัน เพียงแค่มีแม่น้ำยม (แห่งที่ 2) กั้นไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อข้ามสะพานแม่น้ำยม ทางชาวพรหมพิราม จ.พิษณุโลก ก็สามารถข้ามมาร่วมประเพณีลอยกระทงที่วัดวังทองฯได้เช่นกัน โดยชาว จ.สุโขทัยนั้น มีความตื่นตัวอย่างมากในประเพณีลอยกระทง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพราะเป็นประเพณีที่มีต้นกำเนิดมาจาก จ.สุโขทัย
สำหรับ “วัดวังทอง ธมฺมธโร” เป็นหนึ่งในวัดสาขาที่อยู่ในความดูแลของวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ โดยในกิจกรรมบางเดือน อย่างเช่น งานทอดกฐินประจำปี “พระภาวนาวัชรสุทธาจารย์” หรือ “หลวงพ่อสามเรือน ปุญฺเญสโก” เจ้าอาวาส วัดอโศการาม เดินทางนำคณะสงฆ์เดินบิณฑบาตโปรดศรัทธาญาติโยมที่วัดวังทองฯแห่งนี้
ขณะที่ทุกๆเดือน “วัดวังทอง ธมฺมธโร” จะมีการนิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์ทั่วสารทิศมาเทศนาธรรมนำปฏิบัติธรรมประจำเดือน โดยล่าสุดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2567 มีการนิมนต์ “พระอาจารย์ปริญญา ธีรปญฺโญ” วัดแสงพระธรรม จ.สระแก้ว เทศนาธรรมพร้อมกับนำคณะสงฆ์เดินบิณฑบาต
ส่วนเนื้อหาพระธรรมเทศนา “พระอาจารย์ปริญญา ธีรปญฺโญ” ได้ให้หลักธรรมไว้มีเนื้อหาบางส่วนบางตอนดังนี้
“ยอมรับความจริงไม่พอ ยอมแพ้มันไปเลย พระหลายรูปบรรลุธรรมเพราะยอมแพ้ ไม่เอาชนะใคร ใครจะว่ายังไง ท่านก็ยอม พระอานนท์ เขาว่าท่านเป็นอาบัติ ท่านก็ยอม ให้ปลง ก็ปลง ทิฏฐิมานะไม่มี ไม่มีตัวตน ไม่มีเอาแพ้ เอาชนะ ท่านก็ได้เป็นผู้สุดยอดของผู้ชนะ คือ ชนะตน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ชนะอื่น ยิ่งกว่าชนะตนไม่มี ชนะข้าศึกหมื่นแสน ก็ไม่เท่ากับชนะตน คิดให้มากขนาดไหน ก็ไม่เท่ากับหยุดคิด แปลกน่ะ คิดให้มากมายเพียงใด ก็สู้หยุดคิดไม่ได้ เมื่อไหร่ที่หยุดคิดได้ จิตของเราจะมีกำลัง
เมื่อจิตมีกำลังแล้ว เราจะพิจารณา เราจะทำอะไร ก็สามารถมองได้แจ่มชัดขึ้น เมื่อวันก่อนไปที่เมืองจีน ไปที่หนานจิง ที่ตรงนั้น ไปแล้วมันเศร้าใจโยม เศร้าใจอะไร เศร้าใจ ที่ตรงนั้น คนตายน่าจะเกือบล้านคน ฆ่ากันตาย ตายทับตายถม พ่อแม่ลูกพรากจากกัน ตายกัน มันก็เกิดพลังของความแค้น พลังของความโกรธแค้น เราจะไปแผ่เมตตา ต้องใช้กำลังมาก ต้องใช้บารมีใหญ่จริงๆ ที่จะไปปลดปล่อยเขา ยากมาก เพราะเป็นพลังของความแค้น มันหนักมากน่ะโยม เหมือนพลังของความรัก ความรักมากเท่าไหร่ เวลาเกลียดกัน มันกลายเป็นความแค้น ที่ไม่ใช่แค้นธรรมดา เหมือนพระเทวทัตแค้นพระพุทธเจ้า
จริงๆพระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนรักกันมาก พอไปค้าขายด้วยกัน พระเทวทัตมีนิสัยโกง มียายเอาถาดทองคำมาขาย พระเทวทัตแกล้งพูดว่าเป็นถาดทองเหลือง ให้ราคาต่ำ และ กะว่าจะวกกลับมาเอา แต่พระพุทธเจ้าเห็นแล้วก็บอกว่า นี่มันถาดทองคำ ก็เลยเอาของที่มีมาทั้งหมดที่มีมา ให้ยายผู้นั้นไป แล้วก็กะไม่ขายของแล้ว ได้ถาดใบเดียวพอ แต่พระเทวทัตไม่อย่างนั้น พอกลับมารู้ว่า ถาดขายให้เพื่อนไปแล้ว โกรธมาก มาที่ท่าน้ำ เห็นพระพุทธเจ้าของเราเป็นพระโพธิสัตว์กำลังขึ้นเรือออกไป ด้วยความแค้น กำเม็ดทรายขึ้นมาแล้วบอกว่า กูจะจองเวรจองกรรมกับมึงตลอดเท่ากับเม็ดทราย เม็ดหนึ่งก็ชาติหนึ่ง โอ้โห ! จนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 4 อสงไขยแสนกัปแล้วก็ยังจองเวรกันอยู่ไม่เลิก และ เรื่องของกรรมมันน่ากลัวน่ะ อย่าไปจองเวรกับใครน่ะ ให้อภัยได้ก็ให้อภัยกันเถอะ
เราโกรธแค้นขนาดไหนบอกว่า ชาติหน้าอย่าได้มาเจอกันอีกเลย ด่าเช้า ด่าเย็น เดี๋ยวมันก็ได้เจอกันอีก เพราะมันผูกที่ใจ ไม่ได้ผูกด้วยวาจา มันผูกที่ใจ ใจมันผูกไปแล้ว มึงทำกับกู กูก็จะทำกับมึง อันนี้แหละ จึงเกิดการฆ่ากัน จึงเกิดเป็นพลังงานที่น่ากลัวมาก ยิ่งคนตายทับตายถม ตายพร้อมๆกันเนี่ยะ โห! น่ากลัว
ที่ค่ายบางระจันน่ะโยม มันมีต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็ไปถามหลวงพ่อเกษมว่า เอ๊ะ หลวงพ่อที่นั่นมันแปลกน่ะ ใครไปก็เจ็บ ใครไปก็ปวด ใครไปทำสกปรกไม่ได้เลย หลวงพ่อฯบอก โอ้! ตรงนั้นมันมีพลังของความตายอยู่ เวลาเขาไปรบทัพจับศึก เวลาตายกันเยอะๆ เขาไม่มีเวลาเผา เวลาฝัง เขาก็ขุดหลุมเดียว หลุมใหญ่ๆ แล้วก็เอาศพ ฝังพร้อมกัน เวลาฝังแล้วเขาก็เอาต้นไม้แดง ปลูกเป็นที่ระลึกไว้ว่า ศพของบรรพบุรุษ ของวีรชนทั้งหลาย ฝังอยู่ตรงนี้ แล้วลูกหลานไปเห็น ไปทำสกปรก ไปทำไม่ดี เกิดอาถรรพณ์ขึ้นมาได้ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา
เหมือนที่ตรงนี้ วัดวังทอง เป็นวัดเก่าแก่ เป็นวัดโบราณ สมัยสุโขทัย มันก็ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดา มีวิญญาณ มีอารักษ์ ดูแลอยู่ ถ้าทำไม่ดีก็วิบัติ ถ้าทำดีก็เจริญรุ่งเรือง แสดงว่าเราทำดี เทวดามาก็โมทนาดีใจ ยิ่งเราทำบุญทุกเดือนๆ เดือนละครั้ง โอ้โห เทวดายิ่งดีใจ โยมคิดดู เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว มันร้อนขนาดไหน ต้นไม้ก็ไม่มี อาตมามาปีแรก ต้นไม้โหรงเหรงเลย ศาลาก็เก่าๆ กุฎิก็ยังมีน้อย วันนี้เป็นไง ศาลาดูใหญ่โต โอ่โถง พวกเรามานั่ง มาพัก มาผ่อน ก็สะดวกสบาย งั้นพวกเราทั้งหลาย เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ เรามีเพื่อน มีพี่ มีน้อง แล้วเราก็มีเจ้ากรรมนายเวรที่คอยติดตามเรามา แล้วก็มีผู้มีพระคุณที่คอยดูแล คุ้มครองเรา ชีวิตของคนแต่ละคน มันสลับซับซ้อน
จนพระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าไปคิดเลย มันเป็นอจินไตย เรื่องของกรรม เป็นเรื่องอจินไตย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ คิดแล้วมันปวดหัว เพราะมันเป็นอจินไตย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า ไม่ต้องไปคิด ปวดหัว พวกได้ฌาน ได้ญาณ ทำอะไรได้บ้าง ไม่ต้องไปคิด โลกเกิดจากอะไร จักรวาลเกิดจากอะไร ไม่ต้องไปคิด ปวดหัว มันเป็นอจินไตย เรื่องกรรมก็เหมือนกัน เรื่องที่เราได้มานั่ง มาคบค้าสมาคม เราไม่ได้รู้จักกันเพียงแต่ชาตินี้หรอก เรารู้จักกันมามานานมากมายแล้ว ทั้งรัก ทั้งเกลียดกัน
เพราะฉะนั้น เรามาใช้หนี้กัน เมื่อมาใช้หนี้ ทำไมต้องกลัวจ่ายเงินด้วย ตอนจ่ายเงิน จ่ายหนี้ มันเจ็บปวดน่ะ แต่เมื่อเราใช้เสร็จ มันก็โล่ง พอโล่งแล้ว มาปฏิบัติภาวนา มันก็เจริญก้าวหน้า เพราะหนี้มันหมดแล้ว ที่เหลือก็เหลือแต่กำไร ครูบาอาจารย์ฯบางองค์ พอมาภาวนาแล้ว จึงทุกข์ยากมาก ลำบากมาก ทรมานมาก กว่าจะได้รู้ธรรม เพราะหนี้ท่านเยอะ แต่ท่านไม่ท้อถอย ท่านมุ่งมั่น ทำจริงทำจัง ปรากฏว่าท่านก็ได้ผลสำเร็จ ใช้หนี้หมด หนี้ส่วนใหญ่หมด หนี้ที่เหลือก็เป็นโมฆะ เพราะจิตท่านบรรลุธรรมแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราน่ะ เวลาใครมากระทบ เรายอมแพ้ เราก็เป็นพระ เพราะชนะเราก็เป็นพระ เราจะไม่เป็นมาร เราจะไม่เป็นมารกับคนอื่นอีกต่อไป
ถ้าไปในที่ที่คนตายเยอะๆ คนเสียชีวิตเยอะๆ มันสลดหดหู่ แต่เราก็ดีใจว่า เราไปแล้วได้ประโยชน์ ได้แผ่เมตตา ได้ไปปลดปล่อยเขา เป็นบุญใหญ่น่ะ ใครที่ได้ช่วยเหลือดวงวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้เขาได้พ้นทุกข์ เขาพ้นทุกข์ เราก็พ้นทุกข์”
ส่วนในช่วงประจำวันของวัดวังทองฯนั้น “หลวงตาเผียน ผาสุกาโม” เจ้าอาวาส วัดวังทอง ธมฺมธโร ท่านเมตตานำศรัทธาญาติโยมปฏิบัติธรรม เดินจงกรม ภาวนา รวมทั้งยังมีกิจกรรมปล่อยปลาประจำเดือน
“วัดวังทอง ธมฺมธโร” เป็นอีกหนึ่งสถานที่สัปปายะทางธรรม เหมาะแก่การเจริญ ทาน ศีล และ ภาวนา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีฆราวาสญาติโยมได้เดินทางมารักษาศีล 8 และ ศีลอุโบสถ เพราะมีที่พักที่เหมาะแก่ผู้ปฏิบัติได้เจริญภาวนา รวมทั้งด้วยสถานที่ตั้งของวัดอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง จึงทำให้มีความเงียบสงบ และ สงัดในยามค่ำคืน
ปัจจุบันภายในสถานที่วัดวังทอง ธมฺมธโร ประกอบไปด้วย ศาลาหลวงพ่อเศียร(จำลอง), ศาลารูปปั้นท่านพ่อลี, ศาลาการเปรียญ (ศาลาธัมฺมธโรธนสถิต), กุฎิพระ, โรงครัว, กุฎิฆราวาส และ ระเบียงนาริมทุ่ง คาเฟ่ (โรงทานน้ำ)
ปิดท้ายกันที่ธรรมะของพระวิสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ หรือ พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร ผู้สร้างวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการโดยในหนังสือ “แนวทางปฏิบัติ วิปัสสนา-กัมมัฎฐาน” เรียบเรียงจากโอวาท 4 พรรษา บันทึกไว้ว่า “ทำอะไรต้องทำให้จริง จึงจะได้พบของจริง การทำจริงนั้นนิดเดียวก็พอ เงินแท้ล้านเดียวย่อมดีกว่าเงินเก๊ 10 ล้าน พูดอะไรก็อยู่กับพูด ทำอะไรก็อยู่กับทำ กินก็อยู่กับกิน ยืนก็อยู่กับยืน เดินก็อยู่กับเดิน นั่งก็อยู่กับนั่ง นอนก็อยู่กับนอน อย่าให้ใจมันคืบหน้าไปยิ่งกว่าความจ ล้าน พูดอะไรก็อยู่กับพูด ทำอะไรก็อยู่กับทำ กินก็อยู่กับกิน ยืนก็อยู่กับยืน เดินก็อยู่กับเดิน นั่งก็อยู่กับนั่ง นอนก็อยู่กับนอน อย่าให้ใจมันคืบหน้าไปยิ่งกว่าความจริง. - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี