ll ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวโดยตรง ด้วยรายได้หลักของธุรกิจมาจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากการให้บริการด้านที่พักอาศัย การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม การจัดเลี้ยงและการประชุมสัมมนา รวมถึงการให้บริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น บริการสปาเพื่อสุขภาพ และการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งโรงแรมและที่พักที่ให้บริการของไทยมีหลายประเภทตั้งแต่โรงแรม 1 ดาว ไปจนถึงระดับ 5 ดาว, รีสอร์ท, วิลล่า, เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์, โฮสเทล และโฮมสเตย์ อีกทั้ง การบริหารจัดการโรงแรมของผู้ประกอบการในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากการบริหารจัดการและดำเนินการโรงแรมภายใต้แบรนด์ของตนเองแล้ว ผู้ประกอบการที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งยังรับจ้างบริหารโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารควบคู่ไปด้วย อีกทั้งผู้ประกอบการบางส่วนหันมาบริหารจัดการโรงแรมโดยการจ้างบริหาร/บริหารจัดการโรงแรมภายใต้สัญญาของแบรนด์โรงแรมชั้นนำเพื่อให้โรงแรมเป็นที่รู้จักและเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น
ในปี 2024 ธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาราว 36.2 ล้านคน และจะกลับมาใกล้เคียงกับปี 2019 ที่ราว 39.4 ล้านคน ในปี 2025 ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 32 ล้านคน โดย 5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศนี้เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่ถือสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งหมด อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงโค้งสุดท้ายของปียังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวไทยโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวระยะไกลอย่างนักท่องเที่ยวยุโรป และรัสเซีย ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2024 มีโอกาสแตะ 36.2 ล้านคน สร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวราว 1.7 ล้านล้านบาท และในปี 2025 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ราว 39.4 ล้านคน ใกล้เคียงกับปี 2019 จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ที่มีแนวโน้มเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น และการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาติอื่นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลาง รัสเซีย อิสราเอล และอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่เติบโตสูง ซึ่งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเพิ่มขึ้นนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวได้ราว 2 ล้านล้านบาท
ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยคนไทยมีแนวโน้มสนใจเดินทางไปเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) มากขึ้นในปี 2024 นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยมีแนวโน้มเติบโตราว 9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มาอยู่ที่ 270.2 ล้านคน และในปี 2025 คาดว่าจะเติบโตชะลอตัวเล็กน้อยที่ 2% YoY มาอยู่ที่ 275.6 ล้านคนโดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไทยเติบโตในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ ความเปราะบางของภาวะเศรษฐกิจในประเทศซึ่งจะส่งผลต่อการวางแผนท่องเที่ยวและการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว
ภาพรวมของธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศในปี 2024 คาดว่าจะเติบโตได้ดีทั้งอัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการเติบโตของนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 72% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยเติบโตสูงกว่าปี 2019 ราว 8% และ 31% เมื่อเทียบ กับปี 2023 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาขึ้นของผู้ประกอบการโรงแรมตามต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงขึ้นและการนำเสนอบริการที่มีคุณภาพสูงตามความต้องการของผู้เข้าพัก ในปี 2025 อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักเฉลี่ยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเล็กน้อยจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในไทยที่กลับสู่ภาวะปกติ โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74% และราคาห้องพักเฉลี่ยปรับสูงขึ้นราว 5% YoY
อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากอุปทานห้องพักที่จะทยอยเปิดให้บริการสะท้อนได้จากตัวเลขการออกใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อการโรงแรมในช่วงปี 2021-2023 กว่า 5,600 อาคารทั่วประเทศและส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภาคใต้อย่างภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวในเมืองน่าเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทยอย่างน่าน เชียงราย และจันทบุรี อีกทั้ง ตัวเลขการออกใบอนุญาตก่อสร้างเพื่อการโรงแรมทั่วประเทศในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2024 ยังเพิ่มสูงถึงกว่า 1,200 อาคาร หรือเพิ่มขึ้นกว่า 38%YoY ส่งผลให้การแข่งขันมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกต่อเนื่อง และอาจเข้าสู่ภาวะอุปทานห้องพักส่วนเกินในบางพื้นที่ ซึ่งจะกดดันการเติบโตของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในระยะข้างหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงแรมมีโอกาสหันมาใช้กลยุทธ์ด้านราคามากขึ้นในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและจะกระทบต่อการเติบโตของราคาห้องพักเฉลี่ยตามไปด้วย
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้าใกล้ภาวะปกติแล้ว แต่การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมในแต่ละแห่งนั้นไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ทำเลที่ตั้ง และความสามารถในการปรับตัว ธุรกิจโรงแรมที่มีศักยภาพในการฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ค่อนข้างเร็วและก้าวเข้าสู่ช่วงของการเติบโตแล้ว ได้แก่ 1.กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทระดับบน (Upscale/Upper Upscale) และระดับลักชัวรี่ (Luxury) เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเป็นกลุ่มแรกหลังการเปิดประเทศคือกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง อีกทั้งโรงแรมและรีสอร์ทในกลุ่มนี้ยังได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพที่มีการเติบโตสูงอย่างกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่ใช้จ่ายในระหว่างท่องเที่ยวสูงอีกด้วย 2. กลุ่มโรงแรมที่ตั้งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างภูเก็ตและกรุงเทพฯ รวมถึงกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ตั้งในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ที่ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง 3.กลุ่มโรงแรมที่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อและเมกะเทรนด์ ต่างๆ มีอิทธิพลต่อเทรนด์การท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น นักท่องเที่ยวรัสเซียและอิสราเอลมีโอกาสเดินทางมาไทยมากขึ้นจากผลกระทบของภาวะสงครามและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, Wellness tourism จากกระแสการใส่ใจสุขภาพและการเติบโตของสังคมสูงวัย, Workation จากการขยายตัวของ Gig economy และการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม Digital nomad เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ภาคการท่องเที่ยวของไทยมีแนวโน้มเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการออกนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐในหลายประเทศที่หันมาใช้นโยบายฟรีวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายสำคัญที่มีกำลังซื้อสูงไม่ว่าจะเป็นในฝั่งเอเชียอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รวมถึงฝั่งยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ดังนั้น ภาครัฐและภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจึงต้องโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเป็นกระแสและยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอีกปัจจัยกดดันสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปัจจุบันเนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้ง ธุรกิจโรงแรมชั้นนำของโลกต่างออกมาตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero target) ภายในปี 2050 โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมราว 40% เกิดจากการใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก (Scope 2) ซึ่งธุรกิจโรงแรมหลายแห่งทั่วโลกต่างนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้มากขึ้นเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า เช่น การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน การนำระบบอัจฉริยะมาใช้ และการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานสะอาดอย่างการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เป็นต้น ซึ่งแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังรวมถึงการส่งเสริมให้ผู้เข้าพักและ Suppliers ของโรงแรมมีส่วนร่วมในการก้าวสู่เป้าหมายแห่งความยั่งยืนร่วมกันอีกด้วย
SCB EIC
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี