“CBAM” หรือ “มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน(Carbon Border Adjustment Mechanism)” เป็นมาตรการที่ สหภาพยุโรป (EU) นำมาใช้เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ที่ต้องการทำธุรกิจกับ EU ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมกับผู้นำเข้าสินค้าบางประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
บทความ “ทำความรู้จัก CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)” โดยฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่ใน SET Note Volume 4/2565 ระบุว่า มาตรการ CBAM เสมือนเป็นแรงกดดันทางอ้อมให้ผู้ผลิตสินค้าในประเทศกำลังพัฒนาหันมาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและลดการปล่อยคาร์บอนลง หรือหันมาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถแข่งขันและเข้าสู่ตลาด EU ได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้อาจกระทบสินค้าส่งออกของไทยไป EU มูลค่าสูงถึง 28,573 ล้านบาท
ในวงเสวนา “ภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวอย่างไร? เพื่อนำประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน : SDGs” จัดโดยนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารธุรกิจอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ รุ่นที่ 10มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ
สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า หากมอง CBAM เป็นอุปสรรคก็ทำให้ท้อถอย
แต่หากมองว่าเป็น “โอกาส” ในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาวิธีการทำธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน CBAM จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้มีกำลังใจ ขณะที่บทบาทของภาครัฐ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่าง “การยกร่างกฎหมาย พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ...” เพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
เช่น ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero)
“ร่าง พ.ร.บ. นี้ เราพยายามดึงมาตรการสิทธิการปล่อย อุตสาหกรรมไหนที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสูงๆ เขาจะกำหนดว่าปีๆ หนึ่งท่านจะสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไร แต่ภายใต้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เราก็จะกำหนดว่าใน 5 ปี ให้มันสอดคล้องกับ NDC (แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ) ว่าในแต่ละปีท่านสามารถจะปล่อยได้เท่าไร เราก็ให้สิทธินั้นไปแล้วก็ขายสิทธินั้นคืนกลับมา ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถกำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรมได้” ปวิช กล่าว
รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม อธิบายเพิ่มเติมในประเด็น “สิทธิการปล่อย” ว่า ด้านหนึ่งสถานประกอบการใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเพดานที่กำหนดก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้รัฐเพื่อเข้ากองทุนความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) แต่อีกด้านหนึ่งสถานประกอบการใดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย ยังเหลือโควตาก็สามารถนำไปขายเป็นคาร์บอนเครดิตได้
นอกจากนั้นยังจะ “ทำ CBAM ของประเทศไทย” เพราะในเมื่อไทยต้องการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบต่างๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตก็ต้องมาจากกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ทั้งนี้ หากดูเป้าประสงค์ของสหภาพยุโรป ก็คือการไม่อยากให้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่หย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และคาดหวังว่าจะสามารถออกมาบังคับใช้ได้ทันกับช่วงที่ CBAM ของ EU มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ
สุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ด้านหนึ่งหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม มีกลไกกำกับดูแลเข้ามา แต่อีกด้านหนึ่ง กนอ. จะอำนวยความสะดวกให้โรงงานในนิคมฯ ต่างๆ ได้อย่างไร เพราะจะให้โรงงานปรับตัวกันเองตามลำพังก็คงไม่ง่าย และหากผู้ประกอบการไปไม่ไหวก็ยิ่งแย่เพราะกระทบกันทั้งประเทศ ดังนั้น การรักษาสมดุลจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“เราก็เริ่มออกแบบจากโจทย์ที่เราอยากไป NDC ตามเป้าหมาย แต่คำถามคือเราต้องลงทุนอะไรเพื่อให้เขาอยู่ได้? และเขาสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวก ทำให้เป็น Green Facilities (สิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้เขาไปตอบสนอง CBAM เรามองมุมนี้เพราะไม่เช่นนั้นต้นทุนเขาสูงขึ้น แล้วเขาไปคนเดียวต้นทุนต่อหน่วยเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันเป็นโอกาสของ กนอ. ในการมัดรวมสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ต้นทุนเขาถูกลง ห่วงโซ่ อุปทาน โลจิสติกส์ ทุกอย่างซึ่งถ้าเรามัดรวมได้หน่วยของการคิดเรื่องค่าใช้จ่ายก็จะดีขึ้น” สุเมธ กล่าว
สุเมธ ยกตัวอย่างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่มีทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าก๊าซ อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากเชื่อมห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้เปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน โดยมีนิคมฯ เป็นผู้สนับสนุน เชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันกับ CBAM ได้ ทั้งนี้ จุดแข็งของ กนอ. คือ นิคมฯ กับผู้ประกอบการเดินด้วยกันตลอด
ณัฐกร ไกรกุล Vice President Decarbonization Center of Excellence บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า ความเสี่ยงในมุมภาคอุตสาหกรรม คือหากปรับตัวไม่ทันหรือไม่มีการวางแผนรองรับที่เหมาะสม ย่อมหนีไม่พ้นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ดังนั้นการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐในการหาระยะเวลา ปริมาณและกลไกที่เหมาะสมในการดำเนินการ
“แต่ในฝั่งโอกาส เราก็มองว่าจุดนี้มันจะมีคนที่ปรับตัวทันและไม่ทัน ถ้าเราสามารถทำในความเร็วที่เหมาะสมและสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในบางเรื่องได้ เราจะสามารถ Differentiate (สร้างความแตกต่าง) ตัวเองออกจากตลาดในอุตสาหกรรมที่เราทำอยู่ได้ ฉะนั้นมันก็เป็นโอกาสที่ทำให้เราสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ กับทางธุรกิจได้ด้วย รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆหรือโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยี บริการใหม่ๆ ให้กับประเทศไทย เป็นเรื่องของ GrowthEngine (เครื่องจักรสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ) ใหม่ๆ ได้ด้วย” ณัฐกร กล่าว
ณัฐกร กล่าวต่อไปว่า อย่างของ GC พยายามรวมปัจจัยภายนอกต่างๆ เข้ามาอยู่ในส่วนของการวางแผนธุรกิจให้มากขึ้น พยายามทำเครื่องมือภายในที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ (Climate Instrument) มองฉากทัศน์ว่าโลกจะเป็นไปอย่างไรได้บ้าง แต่ละฉากทัศน์ราคาคาร์บอนจะอยู่ที่เท่าไร CBAM เป็นอย่างไร กฎหมายของไทยเป็นอย่างไร เพื่อให้มองเห็นว่าธุรกิจที่ทำอยู่มีความเสี่ยงมาก-น้อยเพียงใด และการปรับตัวต้องลงทุนมาก-น้อยเพียงใด สามารถบริหารจัดการได้หรือไม่ นำไปสู่การหาแนวทางปรับทั้งธุรกิจเดิมที่มีอยู่และการลงทุนใหม่ๆ
ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารความยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยมีเงินน้อย ในขณะที่ร้อยละ 70-80 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นส่วนของพลังงาน ดังนั้น หากจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับประเทศ ทำอย่างไรจะให้สินทรัพย์ที่มีอยู่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนของพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ของอุตสาหกรรมได้
“ปัจจุบันทุกหน่วยที่เราเปิด เราปล่อยก๊าซ 0.5 กิโล อย่างอุตสาหกรรมของ SCG เราใช้พลังงานทดแทน ที่เป็นไฟฟ้าประมาณสัก 30% ก็คือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ศูนย์ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเรื่อง Green Infrastructure(โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) ที่สอดคล้องกับตลาด ถ้ากรณี CBAM ก็พูดถึงตลาดยุโรป มีอุตสาหกรรมหรือสินค้าประเภทไหนบ้างที่เราจะส่งออกไปที่นั่น” ชนะ กล่าว
ชนะ ยังกล่าวด้วยว่า การปรับตัวของ CBAM ขอให้เป็นการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Play) อย่างของ SCG เก็บข้อมูลโดยหน่วยงาน extra european cement research academy ซึ่งทำงานในระดับสากล ทำข้อมูลกันอยู่ 2 ปี เช่น ปูนถุงนี้ปล่อยคาร์บอนเท่าไร คำถามคือ เมื่อมีสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย เราจะเก็บข้อมูลกันอย่างไรว่าสินค้านั้นปล่อยคาร์บอนเท่าไร
ซึ่งประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องการวางแผน แต่อยู่ที่การทำให้เกิดขึ้นและเกิดความต่อเนื่อง จากที่ผ่านมากฎหมายที่เกี่ยวข้องมีอยู่หลายฉบับในแต่ละกระทรวง จึงเป็นนิมิตหมายอันดี หากร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ... จะผ่านออกมาบังคับใช้ เพราะจะให้ประเทศไทยมีแผนแม่บท (Master Plan) เมื่อบวกอีก 5 แผนย่อย และมีความชัดเจน เชื่อว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพในการที่จะมองการใช้กลไก CBAM ไม่ว่าจะยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือในอาเซียนก็ตาม!!!
SCOOP.NAEWNA@HOTMAIL.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี